โดยในปีนี้ การส่งออกไปตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5% เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ส่วนตลาดรอง เช่น ฮ่องกง, ไต้หวัน, เกาหลีใต้ ขยายตัว 12.1% และตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง, อินเดีย, แอฟริกาใต้ ขยายตัว 7.3%
"การส่งออกในปี 56 ยังคงไม่คึกคัก เพราะมีเพียงตลาดอาเซียนและตลาดรองที่เป็นตลาดความหวังของการส่งออกไทย โดยในปี 56 สัดส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น 51.4% จากปี 55 ที่มีอยู่ 50.7% และมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปอาเซียนจะขยายตัว 8.21% เพราะเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่มีแนวโน้มการขยายตัวดี ส่วนตลาดหลัก คือ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว" นายอัทธ์ กล่าว
สำหรับปัจจัยลบที่กระทบต่อการส่งออกปี 56 ได้แก่ เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะเสี่ยง, เศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจมีแนวโน้มชะลอลง, การปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่ม และการแข่งขันด้านราคาลดลง ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกลดต่ำลง อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้น 0.24-3.32% โดยปีนี้มีโอกาสแตะที่ระดับ 29 บาท/เหรียญสหรัฐฯ
นายอัทธ์ ยังระบุว่า สินค้าที่คาดว่าจะเป็นดาวรุ่ง ได้แก่ ไก่แช่เย็นและแช่แข็ง มันสำปะหลัง ยานยนต์และชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนสินค้าที่ต้องลุ้นว่าจะเติบโต คือ ยางพารา โดยต้องลุ้นให้จีนนำเข้าจากไทยมากขึ้น เฟอร์นิเจอร์ เพราะได้รับผลกระทบจากค่าแรง 300 บาท ขณะที่สินค้าที่คาดว่าการส่งออกจะลดลง ได้แก่ ข้าว, เสื้อผ้าสำเร็จรูป และกุ้งแช่เย็นและแช่แข็ง