นับตั้งแต่พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ของญี่ปุ่น ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2555 นายชินโสะ อาเบะ หัวหน้าพรรคแอลดีพีและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ก็แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่า ภารกิจแรกที่เขามุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จคือ การผลักดันเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้สามารถหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อมานานด้วยการใช้มาตรการกระตุ้นด้านการเงินและการคลังเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ขยายขอบเขตโครงการซื้อสินทรัพย์และเพิ่มเป้าหมายเงินเฟ้อ
หลังจากที่แดนปลาดิบได้ผู้นำคนใหม่เพียง 4 วัน บีโอเจได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0 - 0.10% ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมปีที่แล้ว พร้อมขยายวงเงินซื้อสินทรัพย์อีก 10 ล้านล้านเยน เป็น 101 ล้านล้านเยน จากเดิม 91 ล้านล้านเยน โดยมีเป้าหมายที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อหนุนเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นอกจากนี้ นายมาซาอากิ ชิรากาวะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ยังกล่าวด้วยว่า บีโอเจจะยังคงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังถดถอยเล็กน้อย ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ขณะเดียวกันมีการรายงานว่า บีโอเจเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลมากสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 104.93 ล้านล้านเยน ณ สิ้นเดือนกันยายน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการผ่อนคลายทางการเงินเป็นพิเศษ ซึ่งบีโอเจระบุว่า นับเป็นครั้งแรกที่ทางธนาคารเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเกิน 100 ล้านล้านเยน หรือเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคิดเป็น 11% ของสัดส่วนพันธบัตรรัฐบาลที่บีโอเจถือครองทั้งหมด
อย่างไรก็ดี บีโอเจไม่ได้เพิ่มเป้าหมายเงินเฟ้อจาก 1% เป็น 2% ตามที่นายอาเบะเรียกร้อง ผู้นำญี่ปุ่นจึงเตือนแกมขู่ว่าจะมีการทบทวนกฎหมายของธนาคารกลางญี่ปุ่น หากบีโอเจไม่กำหนดเป้าเงินเฟ้อที่ 2% ในการประชุมบอร์ดครั้งต่อไปในวันที่ 21-22 มกราคม ซึ่งท่าทีของผู้นำคนใหม่ที่มีต่อบีโอเจนั้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าความเป็นอิสระของบีโอเจจะลดน้อยถอยลงไป
นอกเหนือจากการกดดันธนาคารกลางแล้ว นายอาเบะยังดำเนินการในส่วนของตัวเองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่างๆ โดยเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายอาเบะได้ลงนามรับรองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 20 ล้านล้านเยน โดยมีเป้าหมายที่จะหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืนด้วยการกระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชน หนุนบริษัทญี่ปุ่นให้มีศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดโลก และเดินหน้าโครงการสาธารณะขนาดใหญ่เพื่อเร่งฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2554
นายอาเบะแสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 20 ล้านล้านเยน จะช่วยหนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงให้ขยายตัวได้ราว 2% และจะช่วยสร้างงานราว 600,000 ตำแหน่ง ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลจะออกพันธบัตรเพิ่มเติมอีกมูลค่า 5 ล้านล้านเยนสำหรับปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม เพื่อนำเงินมาใช้ในการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยังเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาเรื่องการยกเว้นภาษีให้กับบริษัทที่ขึ้นค่าแรงให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมกับแสดงเจตจำนงว่าต้องการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งจำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการส่งออก
ขณะที่การประชุมบอร์ดบีโอเจครั้งต่อไปใกล้เข้ามาทุกขณะ บีโอเจก็ถูกกดดันมากขึ้นเรื่อยๆให้เพิ่มเป้าหมายเงินเฟ้อตามความต้องการของนายอาเบะ ยิ่งไปกว่านั้น นายอาเบะยังระบุข้อเรียกร้องที่ชัดเจนกว่าเดิมว่า บีโอเจต้องกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย “ระยะกลาง" ไม่ใช่ “ระยะยาว" เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาเงินฝืดอย่างจริงจัง
เดิมทีบีโอเจต้องการระบุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% เป็นเป้าหมายระยะยาวโดยไม่กำหนดวันที่เฉพาะเจาะจง แต่นายอาเบะเตือนว่าระยะเวลาที่ยาวนานเกินไปจะทำให้ตลาดไม่ตอบสนอง ซึ่งความคิดที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าการธนาคารกลางคนปัจจุบันนี้ ทำให้นายอาเบะไม่ค่อยพอใจและส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่ต้องการให้นายชิรากาวะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการบีโอเจอีกต่อไป
นายอาเบะได้กล่าวว่า ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นคนต่อไปที่จะมาทำหน้าที่แทนนายชิรากาวะ ซึ่งจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนเมษายนนี้ ควรจะเป็นบุคคลที่มีแนวคิดเชิงรุกในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และใช้นโยบายเงินตราได้อย่างเด็ดเดี่ยว
ตามหลักเกณฑ์แล้ว รัฐบาลของนายอาเบะมีอำนาจในการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งต่อจากนายชิรากาวะ แต่การเสนอชื่อต้องได้รับการเห็นชอบจากทั้งสภาสูงและสภาล่าง ซึ่งพรรคแอลดีพีของนายอาเบะครองเสียงข้างมากในสภาล่าง
แม้หลายฝ่ายจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของนายอาเบะที่ต้องการเพิ่มเป้าเงินเฟ้อ เพราะเมื่อเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่ญี่ปุ่นอาจไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาที่ต้องตามแก้ไขกันอีก แต่นายอาเบะก็แสดงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวให้ได้ ขณะที่ข้อมูลจากแหล่งข่าวและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ออกมาตรงกันว่า รัฐบาลญี่ปุ่นและบีโอเจจะออกแถลงการณ์ร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อระยะกลางที่ 2% ในการประชุมบอร์ดบีโอเจวันที่ 21-22 มกราคมนี้