สืบเนื่องจากเกิดปัญหาการใช้โทรศัพท์มือถือในบริเวณพื้นที่ชายแดน ที่เคยเกิดกรณีบ่อยครั้งที่ผู้ใช้บริการโทรออกหรือรับสายอยู่ในดินแดนฝั่งไทยแท้ๆ แต่กลับถูกคิดค่าบริการในอัตราสูงแบบบริการข้ามแดนอัตโนมัติหรือโรมมิ่งต่างแดน ทั้งนี้เหตุดังกล่าวเกิดเนื่องจากสัญญาณของผู้ให้บริการภายในประเทศนั้นอ่อนกว่า เครื่องที่พกติดตัวมาจึงเปลี่ยนโดยอัตโนมัติไปใช้เครือข่ายของผู้ให้บริการจากอีกประเทศที่สัญญาณแรงกว่า ซึ่งปัญหาดังกล่าวน่าจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยในส่วนของพื้นที่ชายแดนด้านที่ติดกับประเทศลาว
“ค่าระดับสัญญาณสูงสุดตามที่กำหนด ทั้งของเทคโนโลยี 2G และ3G นั้นเป็นระดับที่จะทำให้เครื่องลูกข่าย หรือเครื่องมือถือของผู้ใช้บริการทั่วๆ ไปไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้ ดังนั้นปัญหาแบบที่เคยเกิดจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะภายใต้กติกาที่ตกลงร่วมกันนี้หมายความว่า ระดับสัญญาณของผู้ให้บริการมือถือของประเทศลาวที่ส่งข้ามมาในดินแดนไทยจะค่อนข้างอ่อน จนเครื่องของผู้ใช้บริการไม่เปลี่ยนไปหาโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ว่าสัญญาณของเครือข่ายผู้ให้บริการไทยอ่อนกว่า ซึ่งถ้าหากยังเกิดกรณีเครื่องเปลี่ยนไปจับสัญญาณต่างแดนอัตโนมัติก็จะสะท้อนปัญหาเรื่องคุณภาพของโครงข่ายผู้ให้บริการไทย แสดงว่าบริเวณนั้นๆ อาจต้องมีการตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเพิ่มเติม" นายประวิทย์กล่าว
ส่วนในกรณีประเทศมาเลเซีย ได้มีข้อตกลงเดิมอยู่แล้วว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทั้งสองประเทศต้องปรับลดพื้นที่ให้บริการ (Service Area Coverage) ของสถานีวิทยุกิจการเคลื่อนที่ระบบเซลลูล่าให้อยู่ภายในเขตแดนของประเทศตนเท่านั้น โดยไม่ให้มีสัญญาณข้ามเขตแดน หรือมีให้น้อยที่สุด ดังนั้นจึงน่าจะมีความเสี่ยงลดลงอย่างมากเช่นกัน และแม้ว่าทางหน่วยงานโทรคมนาคมของมาเลเซียนั้นมีความพยายามเสนอให้ประเทศไทยพิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าว แต่ท่าทีของไทยก็ยังคงยืนยันที่จะจำกัดพื้นที่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ยังคงมีข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือว่า เพื่อความมั่นใจและสบายกระเป๋า (สตางค์) ในการใช้งานเมื่ออยู่บริเวณพื้นที่ชายแดน ยังควรต้องหมั่นสังเกตว่าเครื่องกำลังจับสัญญาณของเครือข่ายที่เราเปิดใช้บริการหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจ ไม่พลาด และไม่ต้องเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น