นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงต่อทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาต่อเนื่องหลายวันติดต่อกัน ซึ่งล่าสุดปรับตัวแข็งค่าสูงสุดในรอบ 16 เดือน เพราะอาจจะกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการได้
ทั้งนี้ หากเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนของไทยค่อนข้างมีเสถียรภาพ ดังนั้นการปรับตัวแข็งค่าขึ้นในรอบนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ อย่างไรก็ตามการที่เงินบาทปรับตัวแข็งค่าจะส่งผลดีและเป็นโอกาสต่อการนำเข้าสินค้าทุนในราคาถูกลง
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนอยากให้ ธปท.ติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมให้ทิศทางค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ส่งออก
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทนั้น ในสัปดาห์หน้าภาคเอกชนจะได้ข้อสรุปในรายละเอียดทั้งหมดถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยขณะนี้รอเพียงข้อมูลการสำรวจจากคณะทำงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมจัดตั้งขึ้น ก่อนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ต่อไป
โดยเบื้องต้นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงอย่างน้อย 30% ของราคาขาย จะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการช่วยเหลือ โดยภาคเอกชนจะขอการสนันบสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการชดเชยส่วนต่าง ที่เชื่อว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ดีที่สุด