อดีตรมว.คลัง ยังแสดงความเห็นด้วยกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่มองว่านโยบายการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจะสร้างผลขาดทุนและทำให้ยอดหนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 63% ได้ในอีก 5 ปี ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้ปฏิเสธที่จะพูดถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากความเสี่ยงในโครงการการรับจำนำข้าวครั้งนี้ที่ใช้งบกว่า 4.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่าโครงการรับจำนำข้าวมีโอกาสขาดทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านบาท/ปี และยังไม่รวมค่าบริหารจัดการที่เกิดขึ้นอีกปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากรวมแล้วในระยะ 5 ปีข้างหน้าอาจมียอดขาดทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของ GDP ซึ่งทำให้เป็นความเสี่ยงต่อระดับหนี้สาธารณะในอนาคต
นายกรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยถือว่ามีความโชคดีที่ยังมีบุญเก่าที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น 1.ระบบการปกครอง ซึ่งโครงสร้างของเศรษฐกิจและกฎหมายต่างๆ ที่มีความพร้อมต่อประเทศ ทำให้ภาคธุรกิจเอกชนสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ 2.นโยบายอุตสาหกรรมในอดีต โดยเฉพาะโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด 3.ระบบตลาดทุน ที่เป็นแรงดึงดูดและส่งเสริมภาคธุรกิจไทยให้พัฒนาไปสู่อนาคตได้ 4.เสถียรภาพการเงิน-การคลัง ซึ่งจากการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลังในอดีตที่ผ่านมา ช่วยทำให้รัฐบาลปัจจุบันสามารถมีฐานที่มั่นคงในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์สำหรับอนา คตประเทศไทย
ดังนั้นเมื่อประเทศไทยมีความพร้อมในด้านต่างๆ เหล่านี้แล้ว สิ่งที่คาดว่าหวังกับประเทศไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า คือต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นของทั้งภาคการผลิต, ภาคการเกษตร ตลอดจนภาคบริการต่างๆ
“เราต้องหวังสูง เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้คนไทยได้ ตัวอย่างเช่น GDP ในปัจจุบันที่ 11 ล้านล้านบาท ใน 20 ปีหน้าเราหวังจะเพิ่มเป็น 50 ล้านล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นปีละ 5% รวมกับเงินเฟ้ออีก 3% น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้น ถ้าดูจากผลประกอบการของบริษัทในตลาดเพิ่มขึ้นปีละ 15% เป็นเป้าหมายที่สามารถทำได้" นายกรณ์ กล่าว