จากการศึกษาเรื่องดังกล่าว พบว่า รูปแบบการปลูกพืชแซมปาล์มน้ำมันที่นิยมปลูกในพื้นที่สวนส้มร้างทุ่งรังสิต มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ 1) การปลูกตะไคร้แซมปาล์มน้ำมัน 2) การปลูกกล้วยหอมแซมปาล์มน้ำมัน และ 3) การปลูกกล้วยน้ำว้าแซมปาล์มน้ำมัน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ พบว่า การปลูกปาล์มน้ำมันมีต้นทุนก่อนให้ผลผลิตเฉลี่ย (ตลอดช่วงอายุ) เท่ากับ 1,073บาท/ไร่/ปี
ส่วนต้นทุนในการปลูกพืชแซมทั้ง 3 รูปแบบ พบว่า การปลูกตะไคร้แซมปาล์มน้ำมัน มีต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับ 1,907 บาท/ไร่/ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11,356 บาท/ไร่/ปี ส่วนการปลูกกล้วยหอมแซมปาล์มน้ำมัน มีต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับ 4,903 บาท/ไร่/ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 14,280 บาท/ไร่/ปี และการปลูกกล้วยน้ำว้าแซมปาล์มน้ำมัน มีต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับ 1,669 บาท/ไร่/ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7,064 บาท/ไร่/ปี
นอกจากนี้ พบว่า รูปแบบของการปลูกพืชแซมปาล์มน้ำมันในช่วงก่อนให้ผลผลิตในพื้นที่สวนส้มร้างทุ่งรังสิตที่เหมาะสมหรือให้ผลตอบแทนสุทธิสูงสุด ได้แก่ การปลูกตะไคร้แซมปาล์มน้ำมัน โดยมีผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 8,375 บาท/ไร่/ปี รองลงมา ได้แก่ การปลูกกล้วยหอมแซมปาล์มน้ำมัน ให้ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 8,302 บาท/ไร่/ปี และ การปลูกกล้วยน้ำว้าแซมปาล์มน้ำมัน ให้ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 4,321 บาท/ไร่/ปี ตามลำดับ
ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าปลูกพืชแซมปาล์มน้ำมันเป็นการเพิ่มรายได้และช่วยลดภาระในการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันของเกษตรกร โดยเฉพาะในช่วงที่ปาล์มน้ำมันยังไม่ให้ผลผลิต
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในเรื่องของระบบน้ำและการเลือกช่วงเวลาในการปลูกพืชแซมให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และมีตลาดรองรับ นับว่ามีความสำคัญที่จะส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่จะได้รับเลขาธิการ กล่าว