ทั้งนี้ มีการเปรียบเทียบการแข็งค่าของค่าเงินมิภาคและประเทศคู่แข่ง โดยไทยแข็งค่าขึ้น 3.13% รองลงมาคือ อินเดีย 2.40% เกาหลีใต้ 2.35% มาเลเซีย 2.20% ฟิลิปปินส์ 1.62% เวียดนาม 0.66% ใต้หวัน 0.45 % จีน 0.40% อิโนนีเซีย 0.05% ขณะที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคที่มีค่าเงินอ่อนค่า เช่น ฮ่องกง -0.03% สิงค์โปร์ -0.58% บรูไน -0.67% และญี่ปุ่น -6.88%
อย่างไรก็ตาม จากการเปรียบเทียบการแข็งค่าของเงินบาทข้างต้น ไทยเป็นประเทศที่มีเงินบาทแข็งค่าที่สุดในเอเชีย ซึ่ง ส.อ.ท. มองว่าจะทำให้อุตสาหกรรมของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จึงได้เสนอ 7 มตราการในการดูแลค่าเงินที่แข็งค่า ประกอบด้วย
1.ดูแลค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวน โดยแนะให้แบงค์ชาติเข้ามาดูแลให้เป็นพิเศษในช่วงนี้ 2.ดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินโดนีเซีย 3.เร่งแก้เงื่อนไขการถือครองเงินตราต่างประเทศ
4.ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงมาตราการการดูแลค่าเงิน โดยให้ธนาคารพาณิชย์ หรือ Exim Bank ลดวงเงินในการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงของค่าเงิน 5.แยกบัญชีวงเงินสินเชื่อไม่ให้เงินส่วนนี้มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนในช่วงนี้ 6.ส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการในต่างประเทศ โดยเร่งแก้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน และให้ BOI กำหนดมาตรการส่งเสริมดังกล่าวมีแรงจูงใจมากขึ้น 7.เร่งการลงทุนของภาครัฐ และเอกชน เนื่องจากช่วงที่เงินบาทแข็งเป็นช่วงที่เหมาะสมมากที่สุด