ด้านนายวรเดช หาญประเสริฐ อธิบดีกรมการบินพลเรือน กล่าวว่า กรมการบินพลเรือนอยู่ระหว่างการปรับปรุงท่าอากาศยานในกำกับดูแลที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนเพื่อรองรับการขนส่งเชื่อมประเทศในอาเซียนรวม 6 แห่ง 1.ท่าอากาศยานแม่สอด ซึ่งจะได้ขยายทางวิ่งเพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ขึ้น วงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังเมียนมาร์มาใช้บริการ 2.ท่าอากาศยานเบตง จะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร วงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเดินทางไปยังมาเลเซีย และเพื่อความมั่นคง
3.ท่าอากาศยานอุบลราชธานี จะมีการต่อเติมลาดจอดเครื่องบิน และปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร วงเงินประมาณ 300 ล้านบาท โดยจะผลักดันให้มีเที่ยวบินและสายการบินต่างประเทศในอินโดจีนมาลงที่ท่าอากาศยานอุบลราชธานีและบินไปยังเมืองสำคัญๆ ของกลุ่มอินโดจีนโดยตรงเพิ่มขึ้น 4.ท่าอากาศยานอุดรธานี ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดจ้างเพื่อปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร วงเงินประมาณ 275 ล้านบาท 5.ท่าอากาศยานนราธิวาส มีการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์รองรับผู้แสวงบุญไปประกอบพิธัจญ์ วงเงินประมาณ 400 ล้านบาท และ6.ท่าอากาศยานนครราชสีมา จะขยายทางวิ่งรองรับการจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยาน วงเงินประมาณ 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ การขนส่งทางอากาศของไทยมีความพร้อมเพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนอย่างมาก โดยไทยได้ลงนามและให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการเปิดเสรีบริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางอากาศอย่างเต็มที่ โดยไม่จำกัดความจุความถี่ และแบบอากาศยานในจุดบินอาเซียนทั้งหมดแล้ว ซึ่งมีประเทศที่ลงนามรวม 6 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ส่วนประเทศอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา และบรูไน ยังไม่ได้ลงนาม
นายโกวิท ธัญญรัตตกุล นายกสมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศไทย กล่าวว่า ยังมีกฎหมายของไทยที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน เช่น กรณีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม7% สำหรับผู้ประกอบการภายในพื้นที่ปลอดอากรหรือเขตฟรีโซน ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งประเทศอื่นไม่มีการจัดเก็บ และทำให้ต่างชาติหันไปใช้บริการพื้นที่ฟรีโซนที่ประเทศมาเลเซีย ส่งผลให้ปัจจุบันปริมาณการใช้พื้นที่เขตฟรีโซนเหลือเพียง 20%