1) ดูแลค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนเร็วเกินไป 2) ดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่ากว่าคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย 3) ควรมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การถือครองเงินตราต่างประเทศ 4) การลดวงเงินการทำธุรกรรมในการป้องกันความเสี่ยงและลดค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงมาตรการป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น 5) ควรมีการแยกบัญชีต่างประเทศ ระหว่างบัญชีที่เข้ามาลงทุนและบัญชีเก็งกำไร 6) ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเร่งแก้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน และ 7) ให้ภาครัฐและเอกชนเร่งลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
“ภาคเอกชนต้องการให้ ธปท. ดูแลค่าเงินบาทเป็นพิเศษ เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่เกิดจากการไหลเข้าของเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงสกุลเดียว แต่ปัจจุบันเกิดจากการไหลเข้าของเงินเยนและยูโร ที่ออกมาแสวงหาผลตอบแทนในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะไทยที่ให้ผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นสูงถึงร้อยละ 2.75 ผมคิดว่าในระยะสั้น 2-3 เดือนนี้ เงินบาทยังมีความผันผวน และมีแนวโน้มยังแข็งค่าต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้
อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยที่ผู้ส่งออกหรือภาคการผลิตหรือบริการที่มีรายรับรายจ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ควรต้องปรับตัวรับความผันผวนนี้ เช่น การซื้อประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และมองว่าการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น อาจเป็นโอกาสดีในการลงทุนนำเข้าเครื่องจักรมาผลิตด้วย"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ หากย้อนไปดูสถานการณ์เงินบาทปี 55 ที่ผ่านมา ค่าเงินเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.60-31.80 บาท/ดอลลาร์ โดยแข็งค่าขึ้นไปสูงสุดที่ 30.60 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ 31.78 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถือว่ามีความสมดุล แต่ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ปี 56 เงินบาท และเงินสกุลหลัก ต่างพุ่งแข็งค่าขึ้นรวดเร็ว เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทหลุดกรอบ 30 บาทไปที่ 29.75 บาท แข็งค่าที่สุดในรอบ 17 เดือน จากความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลกปรับดีขึ้น หลังสหรัฐหาข้อยุติเพื่อเลี่ยงปัญหาฐานะทางการคลังได้ในระดับหนึ่ง
ขณะที่เงินทุนไหลเข้า เริ่มทะลักสู่ภูมิภาคเอเชียมากขึ้นเช่นกัน ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ประกอบกับนักลงทุนเริ่มหวังเข้าเก็งกำไร กินส่วนต่างดอกเบี้ยและค่าเงินไปพร้อม ๆ กันด้วย แน่นอนว่าเงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และหากไทยไม่ตั้งสติรับมือแล้วละก็ อาจเพลี่ยงพล้ำทางเศรษฐกิจได้ง่าย ๆ
การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้เงินของผู้ส่งออกหายไปประมาณ 18,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 216,000 ล้านบาทต่อปี เอสเอ็มอีอุตสาหกรรมอาหาร, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, รองเท้า, เกษตรแปรรูป, ผลไม้กระป๋อง ล้วนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก เพราะใช้วัตถุดิบในประเทศจำนวนมาก ต่างจากพวกอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ค้าน้ำมัน ที่ได้รับอานิสงส์จากการนำเข้า ชดเชยรายได้ที่หายไประดับหนึ่ง
“เอสเอ็มอีเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงสุด เพราะบริหารจัดการค่าเงินไม่ได้ดี เท่าผู้ส่งออกรายใหญ่ ขณะที่การแข่งขันด้านราคาก็สู้คู่แข่งขันไม่ได้ โดยเฉพาะจีน เวียดนาม ที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทย ดังนั้น คงต้องเป็นภาระของภาครัฐที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือ" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว