สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3567 ดอลลาร์ จากระดับวันอังคารที่ระดับ 1.3487 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5793 ดอลลาร์ จากระดับ 1.5760 ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 91.2 เยน จากวันอังคารที่ระดับ 90.71 เยน แต่ร่วงลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9109 ฟรังค์ จากระดับ 0.9221 ฟรังค์
สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากคณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนม.ค. โดยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 89.2 จุด มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 88.2 จุด
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า จีดีพีที่แท้จริงประจำไตรมาส 4/2555 หดตัวลง 0.1% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว และเป็นครั้งแรกที่จีดีพีหดตัวลงนับตั้งแต่ผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยช่วงปี 2550-2552
ทั้งนี้ จีดีพีไตรมาส 4 สวนทางกับการขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 3 เนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐร่วงลงอย่างหนักถึง 15% ขณะที่ภาคเอกชนก็ปรับลดสต็อกสินค้าคงคลัง
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันหลังจากแถลงการณ์ในการประชุมล่าสุดของเฟดระบุว่า "กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐเผชิญกับภาวะชะงักงันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสภาพอากาศอันเลวร้าย ส่วนตัวเลขการจ้างงานยังคงขยายตัวปานกลาง แต่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก"