นางพิรมล เจริญเผ่า อธิบดีกรมเจรจาการค้าระว่างประเทศ กล่าวว่า จากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการค้าและการส่งออกไปยังตลาดหลักทั้ง 2 ตลาด กรมฯ จึงได้เร่งดำเนิน 6 มาตรการเพื่อผลักดันให้การค้าการส่งออกของไทยขยายตัวได้มากขึ้น ประกอบด้วย 1.การส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน โดยฟื้นฟูความสัมพันธ์เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การประชุมความร่วมมือทางการค้า(JTC) กับเมียนม่าร์,เวียดนาม, ลาว, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และกัมพูชา รวมทั้งการประชุมไตรภาคีระหว่างไทย-เวียดนาม-ลาว เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เพิ่มขึ้น
2. การแสวงหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพแทนตลาดหลัก เพื่อให้มีตลาดที่หลากหลายขึ้น โดยอาศัยความตกลงเขตการค้าเสรี(FTA)ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ และมีผลบังคับใช้แล้ว โดยมุ่งเน้นตลาดออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ญี่ปุ่น, อินเดีย, เปรู รวมถึงตลาดชิลี ที่ความตกลง FTA จะมีผลบังคับใช้กลางปีนี้ด้วย
3. การแสวงหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ จากทั่วโลก เพื่อให้ไทยได้เปรียบด้านต้นทุน ราคา และคุณภาพการผลิตสินค้าและบริการ 4. การขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป(GSP) ซึ่งปัจจุบันกรมฯ อยู่ระหว่างเตรียมการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งจะทดแทนหรือชดเชยสินค้าที่ไทยถูกตัด GSP และถือเป็นการได้รับสิทธิภาษีนำเข้าอย่างถาวร
5.การส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจน ซึ่งขณะนี้ กรมฯกำลังเจรจากับอินเดีย แคนาดา และอาเซียน และจะกำหนดแผนเจรจาด้านการลงทุนในความตกลงไทย-เปรูและไทย-ชิลีในอีก 2 ปี และ 6.การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประตูสู่อาเซียน(อาเซียนเกตเวย์) โดยยกระดับการให้บริการศูนย์บริการข้อมูล AEC ให้เป็น "ศูนย์บริการการค้าการลงทุนอย่างครบวงจร"
ทั้งนี้ คาดว่าทั้ง 6 มาตรการจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยปีนี้สามารถแข่งขันได้ตรงตามเป้าหมาย