สืบเนื่องจากการเยือนอย่างเป็นทางการของผู้นำไทยและจีนเมื่อปี 2555 (ผู้นำไทยเยือนจีนเดือนเมษายน 2555 และผู้นำจีนเยือนไทยเดือนพฤศจิกายน 2555) ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประกาศที่จะเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน (Comprehensive Strategic Cooperative Partnership) โดยเห็นพ้องในการกำหนดเป้าหมายการค้าระหว่างกันให้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2015 ผ่านความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น การค้าสินค้าเกษตรไทย-จีน การลงทุนระหว่างไทย-จีน และความร่วมมือเชื่อมโยงภูมิภาคภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ (อนุภูมิภาคแม่น้ำโขง, อ่าวเป่ยปู้และแนวระเบียงเศรษฐกิจต่างๆ)
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับจีนมากขึ้น ทำให้จีนเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยโดยเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของไทยและเป็นประเทศที่มีการนำเข้าเป็นอันดับ 2 ของไทย มีการขยายตัวทางการค้าเพิ่มขึ้นปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 15
นางปราณี กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ สนับสนุนการจัดทำยุทธศาสตร์ความตกลงเป็น 2 ระดับ เนื่องจากปัจจุบันจีนมีการปกครองแบบกระจายอำนาจจากส่วนกลาง (Decentralization) รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมณฑล จึงมีอำนาจทางการบริหารค่อนข้างมาก อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างความคล่องตัวและลดขั้นตอน รัฐบาลระดับมณฑลจึงสามารถกำหนดนโยบาย และคิดค้นมาตรการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนแข่งขันกันในการดึงดูดทุนจากต่างชาติ นอกเหนือจากกฎระเบียบในระดับประเทศโดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้กำกับดูแลแล้ว รัฐบาลแต่ละมณฑลของจีนยังมีอำนาจในการออกกฎหรือระเบียบบังคับใช้ในระดับท้องถิ่นเองได้ ประกอบกับในแต่ละมณฑลของจีนมีประชากรจำนวนมากเป็นตลาดขนาดใหญ่
ดังนั้น การกำหนดยุทธศาสตร์หรือทำความตกลงกับจีนในทั้ง 2 ระดับจะทำให้การส่งออกสินค้าไทยไปจีนได้รับความสะดวกมากขึ้น ในขณะที่การจัดทำ MOU ระดับมณฑล/มหานคร จะต้องมีหน่วยงานกลางในการประสานกับจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้เนื้อหาของ MOU ของไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการส่งออกของไทย