ทั้งนี้ ยอมรับว่าแม้การส่งออกของไทยจะเติบโตได้น้อยลง แต่โดยรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศยังมีความเข้มแข็ง จึงเกิดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติและเป็นแรงจูงใจที่จะดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ต้องไตร่ตรองว่าเม็ดเงินดังกล่าวเป็นการเข้ามาลงทุนในระยะสั้นเพื่อต้องการจะเก็งกำไรหรือไม่ เพราะหากเป็นเม็ดเงินที่เข้ามาเก็งกำไรก็จจะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
"ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ผมได้ทำหนังสือห่วงใยไปถึง ธปท.แล้ว" นายกิตติรัตน์ ระบุ
ส่วนกรณีที่วันนี้คณะรัฐมนตรียังไม่มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 2.2 ล้านล้านบาทนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า การดำเนินการยังเป็นไปตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ การกู้เงินจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งจะนำเงินที่กู้มาไว้สำหรับเป็นเงินคงคลังเพื่อเบิกจ่ายให้กับผู้รับเหมาตามเนื้องานที่ดำเนินงานไปแล้ว ไม่ใช่การกู้เงินแล้วนำไปกองไว้ให้ผู้รับเหมา
พร้อมยืนยันว่า เงินที่จะจ่ายให้กับผู้รับเหมาจะต้องสอดคล้องกับเนื้องาน และจะไม่มีการขยายเวลาการกู้เงินออกไป เพราะได้มีข้อตกลงกับสถาบันการเงินไว้แล้ว และจะต้องทำให้สอดคล้องกับการบริหารเงินคงคลัง
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงกรณีครม.ยังไม่มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ. เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาทในวันนี้ว่า เนื่องจากมีบางโครงการที่ต้องการให้กลับใช้ในงบประมาณปกติ และจัดให้งบไปลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงตามจุดต่างๆ ว่า อยากให้การต่อเชื่อมไปยังถนนที่สามารถเชื่อมไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือตามตัวเมืองสำคัญ โดยยืนยันว่าไม่ได้ปรับรื้อโครงการ 2 ล้านล้านบาท