นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บสย. กล่าวว่า ในครั้งนี้ถือเป็นวงเงินค้ำประกันสูงสุดในรอบ 21 ปี ที่รัฐบาลได้มอบหมายให้บสย.ในการดำเนินการ สะท้อนถึงความห่วงใยของรัฐบาลและกระทรวงการคลังที่มีต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยการอนุมัติวงเงินค้ำประกันดังกล่าวมอบหมายให้ บสย.ค้ำประกันเงินกู้ สำหรับผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการชำระหนี้แต่ขาดหลักประกัน ผ่านโครงการ PGS5 และโครงการค้ำประกันเงินกู้ สำหรับผู้ประกอบการใหม่
“ความร่วมมือครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาธุรกิจของตัวเอง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีระยะเวลาในการขอค้ำประกันเงินกู้ถึง 3 ปี (2556-2558) ขณะเดียวกัน บสย.ได้ขยายการค้ำประกันวงเงินกู้แต่ละรายไม่เกิน 7ปี" นายสุรชัย กล่าว
จุดเด่นของ โครงการ PGS5 นอกจากการเสริมสภาพคล่องทางการเงินแล้ว ยังเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ด้านการลงทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)อีกด้วย
สำหรับโครงการค้ำประกันเงินกู้ เพื่อผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up) วงเงินค้ำประกัน 10,000 ล้านบาท จะรองรับแผนสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของรัฐบาลภายใต้โครงการ “กองทุนตั้งตัวได้" โดยผู้ประกอบการใหม่ที่เข้ารับการอบรมที่ผ่านการประเมินและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคารจะได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อจากธนาคาร โดยมี บสย.ค้ำประกัน และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนตั้งตัวได้เพิ่มเติม
นายสุรชัย กล่าวว่า ทั้ง 2 โครงการนี้ กำหนดระยะเวลาการค้ำประกัน 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2556-2558 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สนใจใช้บริการค้ำประกันเงินกู้จาก บสย.ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 18 สถาบัน เป็นจำนวนมาก จึงมีความเป็นไปได้ว่าวงเงินค้ำประกันที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจะเต็มวงเงินก่อนปิดโครงการในวันที่ 31 ธันวาคม 2558