ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.3403 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 1.3526 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5712 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5666 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9179 ฟรังค์ จากระดับ 0.9095 ฟรังค์ และดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 93.54 เยน จากระดับ 93.39 เยน
สกุลเงินยูโรได้รับแรงกดดันหลังจากนายดรากิ ประธานอีซีบีกล่าวว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของอีซีบีกำลังจับตาดูการแข็งค่าของสกุลเงินยูโรและผลกระทบที่จะมีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป
ทั้งนี้ นายดรากิกล่าวเป็นเชิงส่งสัญญาณว่า แม้การแข็งค่าของสกุลเงินยูโรในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่การแข็งค่าของยูโรอาจทำให้อีซีบีต้องออกมาตรการรับมือ
"แม้อีซีบีไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แต่ต้องยอมรับว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการอีซีบีจึงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของสกุลเงินยูโรต่อไป ตราบใดที่เรายังคงให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา" นายดรากิกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากธนาคารกลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) เมื่อวานนี้ พร้อมกับตัดสินใจที่จะไม่ขยายโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 3.75 แสนล้านปอนด์ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษประกาศว่าจะนำเงินที่ได้จากการถือพันธบัตรมูลค่า 6.6 พันล้านปอนด์ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.นั้น มาลงทุนต่อไป