สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ค่าเงินยูโรร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 1.3390 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3362 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.5665 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5797 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9186 ฟรังค์ จากระดับ 0.9172 ฟรังค์ และพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 93.42 เยน จากระดับ 92.84 เยน
ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากนายเจนส์ ไวด์แมน ประธนาคารกลางเยอรมนีและสมาชิกสภาบริหารธนาคารกลางยุโรป กล่าวว่า สกุลเงินยูโรไม่ได้มีมูลค่าสูงเกินไปในขณะนี้ พร้อมกับกล่าวว่า นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมีมีเป้าหมายจะฉุดสกุลเงินยูโรให้อ่อนค่าลงนั้น อาจทำให้อัตรเงินเฟ้อสูงขึ้น พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลของประเทศยุโรปให้ความสนใจในการฟื้นฟูเศรษฐกิจมากขึ้น
การแสดงความคิดเห็นของนายไวด์แมนทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสกุลเงินยูโร หลังจากที่ก่อนหน้านี้ยูโรร่วงลงอย่างหนักภายหลังจากนายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เตือนว่าการแข็งค่าของสกุลเงินยูโรอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซน
"แม้อีซีบีไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แต่ต้องยอมรับว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคา ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการอีซีบีจึงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของสกุลเงินยูโรต่อไป ตราบใดที่เรายังคงให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา" นายดรากิกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะกรรมการอีซีบีเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา
ส่วนเงินเยนร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนายอากิระ อามาริ รัฐมนตรีเศรษฐกิจและนโยบายการคลังของญี่ปุ่นกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะดำเนินการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และคาดว่าจะช่วยหนุนดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้น 17% หรือไปแตะที่ 13,000 จุดภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งถ้อยแถลงของนายอามาริทำให้เกิดการคาดการณ์ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
นักลงทุนจับตาดูการประชุม G20 ที่กรุงมอสโก และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ในสัปดาห์นี้