ทั้งนี้ ผลดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่มกราคม 2555 ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 1 ปี สามารถดึงปริมาณยางจากตลาดภายในประเทศได้จำนวน 196,728.441 ตัน ส่งผลให้สามารถพยุงราคายางภายในประเทศให้สูงขึ้นจนไม่กระทบต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรอีก
ประกอบกับรัฐบาลของผู้ผลิตยางทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเก็บสต๊อคยางและลดปริมาณการส่งออกยาง จึงส่งผลให้ราคายาง FOB กรุงเทพฯ สามารถทรงตัวอยู่ในระดับราคา 85-100 บาท/กก. ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางซึ่งเป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกรประมาณ 3 แสนราย ขายยางให้กับโครงการในราคาสูงกว่าตลาดท้องถิ่นเฉลี่ย 15-20 บาท/กก. คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มประมาณ 3,900 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจของภาคเกษตรมีรายได้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นอีกด้วย จากข้อมูลดังกล่าวถือเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการฯ นี้ได้เป็นอย่างดี
โครงการฯ ดังกล่าว ส่งผลให้สามารถพยุงราคายางภายในประเทศให้สูงขึ้นจนไม่กระทบต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรอีก ประกอบกับรัฐบาลของผู้ผลิตยางทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเก็บสต๊อคยางและลดปริมาณการส่งออกยาง จึงส่งผลให้ราคายาง FOB กรุงเทพฯ สามารถทรงตัวอยู่ในระดับราคา 85-100 บาท/กก.
ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางซึ่งเป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกรประมาณ 3 แสนราย ขายยางให้กับโครงการในราคาสูงกว่าตลาดท้องถิ่นเฉลี่ย 15-20 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มประมาณ 3,900 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจของภาคเกษตรมีรายได้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นอีกด้วย จากข้อมูลดังกล่าวถือเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการฯ นี้ได้เป็นอย่างดี
รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ในฐานะประธานอนุกรรมการบริหารโครงการฯระดับจังหวัด ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด 56 จังหวัดที่มีสถาบันเกษตรกรเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัด และประธานเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางระดับจังหวัด เร่งดำเนินการตรวจสอบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะปัญหาการสวมสิทธิ์ในโกดังสำหรับเก็บรักษาสต็อกยางที่มีไม่เพียงพอ เพื่อจะได้เร่งนำข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไขให้เพื่อให้การบริหารจัดการโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางระยะต่อไปมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับแนวทางบริหารจัดการเงินก้อนที่ 2 ภายใต้วงเงิน 5,000 ล้านบาทซึ่งได้รับโอนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) นั้น ก็ได้กำชับและสั่งการให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดคอยสอดส่องการดำเนินงานทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่าให้เร่งทำความเข้าใจและชี้แจงเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯด้วยว่าการดำเนินการใดๆก็ตามจะไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าใดๆทั้งสิ้นจากสถาบันเกษตรกรหรือชาวสวนยาง หากพบการทุจริตให้ส่งหลักฐานถึงกระทรวงเกษตรฯทันทีเพื่อตรวจสอบและดำเนินการขั้นเด็ดขาด
"กรณีสถาบันเกษตรกรที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ จงใจหรือ ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตตามผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯระดับจังหวัด คณะกรรมการบริหารโครงการฯ มีอำนาจสั่งยุติดำเนินการตามโครงการฯและดำเนินคดีกับสถาบันเกษตรกรได้ทันที" นายยุทธพงศ์ กล่าว