สำหรับการขยายตัวในระดับสูงดังกล่าว เป็นเพราะเมื่อเทียบกับฐานในช่วงเดียวกันของปีก่อน คือไตรมาส 4/55 ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับต่ำเนื่องจากประสบกับวิกฤติอุทกภัย นอกจากนี้การขยายตัวของ GDP ไตรมาส 4/55 ถึง 18.9% ยังมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม โรงแรมและภัตตาคาร และการก่อสร้าง
ด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งรายจ่ายภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 4/55 การบริโภครวมขยายตัว 12.2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ที่ทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้นถึง 312.9% รวมทั้งการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้ภาคครัวเรือนจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และการลดลงของการว่างงาน ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
การลงทุนรวม ขยายตัว 23.5% จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ตามการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือ เครื่องจักรและการก่อสร้าง ส่วนการส่งออกสินค้า ขยายตัว 18.2% แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวจากภาวะความซบเซาของเศรษฐกิจโลกอย่างชัดเจน
ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัว 37.4% เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมทั้งการผลิตรถยนต์ที่สูงเกิดคาด สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่วนภาคเกษตรกรรรม ขยายตัว 0.8% ชะลอตัวลงตามปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกนาปี ขณะที่ผลผลิตยางพารา อ้อย และปศุสัตว์ยังขยายตัวได้ดี แต่ราคาสินค้าเกษตรสำคัญลดลง เช่น ปาล์มน้ำมัน และยางพารา เนื่องจากปริมาณสินค้าคงคลังสูง และตลาดโลกที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา ส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลง
ภาคโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวถึง 25.4% ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 6.3 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 39.3% ขณะที่ภาคการก่อสร้าง ขยายตัว 14.1% เป็นผลมาจากการขยายตัวของการก่อสร้างภาครัฐ และการก่อสร้างภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนได้จากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์เหล็กที่เพิ่มขึ้น ส่วนภาคการค้าส่งค้าปลีก ขยายตัว 7.6% เป็นผลมาจากฐานต่ำในช่วงอุทกภัยปี 54 และการขยายตัวเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในทุกหมวดสินค้า จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับดีและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเข้ามา
ขณะที่ทั้งปี 55 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 6.4% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.0%