ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้รายงานนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลดผลกระทบของค่าเงินบาทโดยการเร่งชำระหนี้ต่างประเทศทั้งของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยมีเป้าหมายการชำระคืน 4-5 หมื่นล้านบาท ภายใน 6 เดือนแรกของปี 2556 สำหรับสัดส่วนหนี้รัฐวิสาหกิจนั้นถือว่าไม่น่าเป็นห่วงและยังอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับระดับฐานะการเงินของประเทศ
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะระบุว่า ณ วันที่ 31 ธ.ค.55 รัฐบาลมีหนี้ต่างประเทศทั้งสิ้น 358,263.30 ล้านบาท แบ่งเป็น หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 44,923.71 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน 308,502.49 ล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 4838.1 ล้านบาท
นอกจากนั้น ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับประเด็นการจัดอันดับความยากง่ายในการลงทุนของแต่ละประเทศที่ธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 20 ซึ่งถือว่าเป็นอันดับที่ต่ำกว่าบางประเทศในอาเซียน เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย โดยนายกรัฐมนตรียังต้องการให้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) กลับไปศึกษาและจัดทำตารางเปรียบเทียบความยากง่ายขั้นตอนการลงทุนของต่างประเทศกับประเทศไทย และให้เสนอข้อมูลต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในครั้งต่อไป เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ กลับไปปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป เพื่อลดความยุ่งยากในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ที่จะสนับสนุนการเข้ามาลงทุนของต่างชาติมากขึ้นจะต้องครอบคลุมทั้งมาตรการทางภาษี การลดขั้นตอนการทำหนังสือเดินทางและการขอวีซ่า รวมทั้งการจดทะเบียนบริษัทของกระทรวงพาณิชย์ว่ามีขั้นตอนใดที่ล่าช้า