เมื่อเวลา 08.00 น.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีและคณะ ประกอบไปด้วย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม, ปลัดกระทรวงการคลัง และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับผู้บริหารชั้นนำระดับสูงด้านการธนาคารและการลงทุนของฮ่องกงและต่างชาติ อาทิ Mr.Soo Thiam Tan จาก AIA, Mr.Mark McCombe จาก Blackrock, Dr.Fan Gongsheng จาก China Investment International(Hong Kong), Mr.Edmund Ng จาก Hong Kong Monetary Authority, Mr.Christopher Chan จาก JPMorgan, Mr.Angus Hui จาก Shroders
นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ภายหลังประสบอุทกภัย โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยได้เจริญเติบโตมาอย่างเข้มแข็ง แม้จะชะลอตัวกับบางประเทศคู่ค้า โดยในปี 55 เศรษฐกิจไทยเติบโต 6.4% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.1% และในปี 56 ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในปีนี้คือ อุปสงค์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ขณะที่เสถียรภาพภายในประเทศเอื้ออำนวยต่อการเติบโต เช่น อัตราการว่างงานต่ำ 0.4% ของแรงงานทั้งหมด(สถานะปี 55), ภาวะเงินเฟ้อที่ควบคุมได้ 3.0% ในปี 55 สำหรับเสถียรภาพภายนอก ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัด 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ(11 เดือนของปี 55), เงินสำรองระหว่างประเทศ 181.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับ 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น หรือการส่งออก 10 เดือนของปี 55, ส่วนภาคภาคการธนาคารมีหนี้เสีย(NPLs) เพียง 1.2%(สถานะ ก.ย.55) และมีเงินกองทุนตอสินทรัพย์เสี่ยง(BIS raito) สูงถึง 16.2% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่ ธปท.กำหนดไว้ที่ 8.5%(สถานะ พ.ย.55) มาตรการการรักษาระดับหนี้สาธารณะ โดยหนี้สาธารณะล่าสุดต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)(สถานะ พ.ย.55) คือ 43.5% ต่ำกว่าเพดานกรอบการรักษาระดับหนี้สาธารณะ และรัฐบาลไทยวางแผนการจัดทำงบประมาณสมดุล(Balanced Budget) ภายในปี 2560 ที่สำคัญรัฐบาลไทยจัดทำแผนงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท(เท่ากับ 17% ของ GDP) ในแผนการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน(โดยคาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 50% ของ GDP)
ทั้งนี้ การลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมีแผนงานสำคัญ ได้แก่ แผนการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานตั้งเป้าเพื่อเป็นการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน, งบประมาณ 2 ล้านล้านบาทจะใช้ในการดำเนินงานโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 7 ปี(56-62) เพื่อยกระดับสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมของประเทศ, แผนการลงทุนจะเน้นด้านการคมนาคมและเครือข่ายโลจิสติกส์ ประกอบด้วย เส้นทางรถไฟ 82.6% ถนน 12.2% เส้นทางเดินเรือ 1.5% และสาธารณูปโภคตามแนวชายแดน 0.6 สำหรับโครงการระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้ตั้งงบประมาณ 350 ล้านบาท(เท่ากับ 3% ของ GDP) โดยจะดำเนินการในช่วงระยะเวลา 6 ปี(55-60) เพื่อป้องกันอุทกภัยและสนับสนุนระบบชลประทานทั่วประเทศ
นอกจากนี้รัฐบาลมีความคิดริเริ่มและแรงจูงใจในการลงทุน โดยได้กำหนดมาตรการสำคัญ อาทิ ภาษีเงินได้นิติบุคคล รัฐบาลดำเนินการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น 20% ในปีนี้ โดยลดต่อเนื่องจาก 30% ในปี 54 และ 23% ในปี 55 ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค อาทิ มาเลเซีย 25% เวียดนาม 25% อินโดนีเซีย 20% และฟิลิปปินส์ 30%, สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค(Regional Operating Headquarters: ROH) นโยบายของ ROH คือ แรงจูงใจทางภาษี เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้บรรษัทข้ามชาติตั้งสำนักงานภูมิภาคของตนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย, แรงจูงใจ ได้แก่ การยกเว้นภาษี หรือลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล(Corporate Income Tax: CIT)
สำหรับการดำเนินงานของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค เช่น เกี่ยวกับการบริหาร การฝึกอบรม และการวิจัยค้นคว้าและวิจัย(R&D)-ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(Personal Income Tax:PIT) สำหรับชาวต่างชาติที่มีวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน-สิทธิประโยชน์ทางภาษีเกี่ยวกับการบริหารจัดการทางการเงิน, ไม่มีมาตรการการควบคุมเงินทุน (capital control) สำหรับภาคการส่งออก แม้จะมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญในประเทศคู่ค้าหลัก การส่งออกไทยยังคงเติบโตที่ 3.1% ในปี 55, ลดลงจาก 15.1% ในปี 54
โดยรัฐบาลมีนโยบายเรื่องความหลากหลายของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่ออาเซียน และภูมิภาคอื่นที่มีอัตราการเติบโตสูง, เสริมสร้างความเข้มแข็งของอุปสงค์ในประเทศผ่านมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล, จัดตั้งคณะกรรมการ เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านการค้าระหว่างประเทศ(เช่น การขยายเวลาทำการด่านศุลกากร), สนับสนุนส่งเสริมการค้าให้กว้างขึ้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ย้ำถึงโอกาสการลงทุนของไทยภายใต้แผนยุทธศาสตร์(Country Strategy) ที่จะส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะเน้นการลงทุนใน Infrastructure การจัดทำโซนนิ่งเกษตร และการส่งเสริม SMEs และ OTOP
นอกจากนี้จะให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำผ่านการพัฒนาระบบการศึกษาและสาธารณสุขให้ทั่วถึง โดยการสร้างความเจริญเติบโตนี้ จะต้องยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง การลงทุนด้านการบริหารจัดการน้ำภายใต้วงเงิน 350,000 ล้านบาท เพื่อปกป้องเขตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากอุทกภัย รวมถึงโครงสร้างลงทุนพื้นฐานขนาดใหญ่(Megaprojects) มูลค่า 2 ล้านล้านบาท ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจากต้นทุนที่ลดลง การกระจายความเจริญ การส่งเสริมความเชื่อมโยง(Connectivity)กับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค ซึ่งจะสามารถเป็นจุดเชื่อมต่อกับฮ่องกง ซึ่งมีท่าอากาศยานและท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ และเป็นจุดขนส่งสินค้าที่สำคัญที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าเป็นอันดับต้นของโลกได้อีกด้วย
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกล่าวเสริมในประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจและซักถามด้วย โดยภายหลังการหารือในช่วงเช้า กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้จัดกิจกรรมคู่ขนานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประเทศไทย ภายใต้ชื่อ Hong Kong Roadshow "Thailand’s Strategies:A Road Map for Real Opportunities" ดังนี้ เวลา 09.30 น.การกล่าวสุนทรพจน์ถึงโอกาสของไทยภายใต้แผนยุทธศาสตร์ประเทศโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เวลา 11.20-14.30 น. การจัดสัมมนาเพื่อส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนการพบปะระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินการคลังของไทยกับนักลงทุนต่างชาติที่สำคัญในฮ่องกง(One-on-Ten meeting Session) แบบกลุ่มย่อย
ปัจจุบันฮ่องกงเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของไทย โดยการค้าระหว่างไทย-ฮ่องกงในปี 55 มีมูลค่าถึง 14,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และฮ่องกงยังมีปริมาณเงินลงทุนในโครงการที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น