ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3127 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.3056 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5150 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5130 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9312 ฟรังค์ จากระดับ 0.9321 ฟรังค์ แต่ดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 92.31 เยน จากระดับ 91.94 เยน
สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจาก คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยว่า ความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจของ 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรปรับตัวขึ้นแตะ 91.1 ในเดือนก.พ. จาก 89.5 ในเดือนม.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่า จะขยับขึ้นแตะระดับเกือบ 90
ข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจยูโรโซนกำลังฟื้นตัวจากภาวะถดถอย หลังจากที่หลายประเทศในภูมิภาคได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจของเยอรมนี หรือแม้แต่ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจการผลิตของอิตาลี
สกุลเงินยูโรได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากอิตาลีสามารถระดมทุนจากการขายพันธบัตรได้ 6.5 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลอิตาลีสามารถขายพันธบัตรอายุ 10 ปีได้ทั้งสิ้น 4 พันล้านยูโร ที่อัตราผลตอบแทน 4.83% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.17% ในการประมูลเมื่อวันที่ 30 ม.ค.
นอกจากนี้ อิตาลียังขายพันธบัตรอายุ 5 ปีได้ 2.5 พันล้านยูโร โดยอัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นแตะ 3.59% จากระดับ 2.94% ในการประมูลเดือนที่แล้ว
การประมูลพันธบัตรวันนี้นับเป็นครั้งแรกของอิตาลีภายหลังจากที่เพิ่งมีการประกาศผลการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผลการเลือกตั้งที่ไม่เด็ดขาดได้จุดกระแสความวิตกกังวลให้ปกคลุมตลาดการเงินทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนหวั่นเกรงว่า สถานการณ์ไม่แน่นอนทางการเมืองอาจเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่วิกฤตการเงินระลอกใหม่ในภูมิภาค
ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนปรับตัวลดลง 5.2% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 2.1698 แสนล้านดอลลาร์ นับว่าร่วงลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากที่ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนของภาคกลาโหมร่วงลง 69.5% ในเดือนม.ค. ซึ่งหนักสุดในรอบเกือบ 13 ปี