ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 92.69 เยน จากระดับของวันพุธที่ 92.31 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9369 ฟรังค์ จากระดับ 0.9312 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.3063 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3127 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5172 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5150 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนหลังจากระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่สองของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาส 4/2555 โดยระบุว่า จีดีพีขยายตัว 0.1% ต่อปี ซึ่งดีกว่าในครั้งแรกที่ได้ประมาณการไว้ว่าหดตัวลง 0.1% นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ก.พ.ลดลง 22,000 ราย แตะระดับ 344,000 ราย ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 360,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น
สกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงหลังจากยูโรสแตทรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนร่วงลงแตะระดับ 2% ในเดือนม.ค. จากระดับ 2.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเปิดทางให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ย และจะยิ่งทำให้สกุลเงินยูโรอ่อนแอลงอีก
นอกจากนี้ ยูโรยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายมาริโอ ดรากิ ประธานอีซีบีส่งสัญญาณว่า ธนาคารกลางจะยังไม่คุมเข้มนโยบายการเงินในเร็วๆนี้ เนื่องจากคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 2% ในปีหน้า
นายดรากิกล่าวว่า แม้สถานการณ์ในตลาดการเงินปรับตัวดีขึ้น แต่เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงอ่อนแอ ซึ่งการใช้นโยบายการเชิงแบบผ่อนคลายของอีซีบีจะช่วยผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวทีละน้อยในปีนี้
ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรปได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 0.75% และขยายวงเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำให้ธนาคารต่างๆกว่า 1 ล้านล้านยูโร (1.3 ล้านล้านดอลลาร์) รวมทั้งให้คำมั่นว่าจะซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีปัญหาหนี้ หากประเทศเหล่านี้ตกลงที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ