ทั้งนี้ ดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9438 ฟรังค์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 0.9369 ฟรังค์ และพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 93.62 เยน จากระดับ 92.69 เยน
ค่าเงินยูโรร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 1.3018 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3063 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินปอนด์ร่วงลงมาอยู่ที่ 1.5019 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5172 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการปรับลดงบรายจ่ายโดยอัตโนมัติของรัฐบาลกลางสหรัฐที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวานนี้ โดยพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันประสบความล้มเหลวในการหาทางออกร่วมกันเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดลดงบประมาณแบบอัตโนมัติกว่า 85 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อตัวแทนจากพรรคเดโมเครตเรียกร้องให้มีการขึ้นภาษีกับคนรวย ขณะที่ทางพรรครีพับลีกันคัดค้านการเก็บภาษีเพิ่ม
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดยสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.2 ในเดือนก.พ. จากระดับ 53.1 ในเดือนม.ค. นับเป็นการปรับตัวขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงท้ายเดือนก.พ.เพิ่มขึ้นแตะ 77.6 จากระดับ 73.8 ในเดือนม.ค. ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 76.3
ส่วนค่าเงินยูโรได้แรงหนุนหลังจากมาร์กิตเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของยูโรโซนในเดือนก.พ.ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยสู่ระดับ 47.9 จากระดับ 47.8 ในเดือนม.ค.
ทั้งนี้ ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตในยูโรโซนยังคงหดตัวต่อเนื่อง หลังจากที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตของประเทศรายใหญ่อย่าง ฝรั่งเศสและอิตาลี ยังคงปรับตัวลงในเดือนก.พ. แม้ว่าภาคการผลิตของเยอรมนีมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม