ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3041 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3024 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.5113 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5112 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9418 ฟรังค์ จากระดับ 0.9411 ฟรังค์ และหากเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์อ่อนแรงลงมาอยู่ที่ระดับ 93.29 เยน จากระดับ 93.44 เยน
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเนื่องจากลงทุนแห่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง รวมถึงสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงอย่างยูโร หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อไปเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเจเน็ต เยลเลน รองประธานธนาคารกลางสหรัฐระบุว่า เฟดควรดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรเดือนละ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อไป ขณะเดียวกันก็จัดการรับมือกับต้นทุนและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าว
สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของอิตาลีปรับตัวลดลง 0.10% มาอยู่ที่ 4.78% ณ เวลา 13.48 น.ตามเวลาลอนดอนเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 วัน หลังจากที่รัฐมนตรีคลังของสหภาพยุโรป (อียู) เปิดทางให้มีการผ่อนปรนข้อกำหนดด้านงบประมาณ
ก่อนหน้าเวลาดังกล่าว บอนด์ยิลด์อิตาลีร่วงลงไปถึง 0.16% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของเยอรมนีปรับตัวขึ้น หลังจากยอดค้าปลีกยูโรโซนเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในเดือนม.ค. ส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งรวมถึงพันธบัตรเยอรมนี อ่อนแรงลง