ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าเอ็นพีเอสเอง มีกำลังการผลิตรวมกว่า 436 เมกะวัตต์ ในขณะที่โรงงานทั้งหมดมีความต้องการใช้ไฟฟ้าประมาณ 150 เมกะวัตต์ ดังนั้น จึงไม่น่ากังวลว่าจะส่งผลกระทบใดๆ ต่อกระบวนการผลิตของโรงงานลูกค้าในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โลหะและเครื่องจักร ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า
"แม้เชื่อมั่นว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้น แต่ทาง 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค เองมองว่าการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนหันมาช่วยกันประหยัดพลังงานและลดการใช้ไฟฟ้าลงเป็นเรื่องที่สำคัญ และมีหลายกิจกรรมที่ทางเราได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ อาทิ จัดทำโครงการ Earth Hour ปิดไฟให้โลกพักร่วมกับชุมชนโดยรอบ และกิจกรรมค่ายอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมุ่งให้ความรู้และรู้ค่าพลังงานแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตร รอบพื้นที่โครงการ เป็นต้น"นายพูลศักดิ์ กล่าว
ด้านนายอภิชัย ซอปิติพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. เนชั่นแนลเพาเวอร์ ซัพพลาย หรือโรงไฟฟ้าเอ็นพีเอส กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันเอ็นพีเอสมีโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ในพื้นที่ 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค กำลังการผลิตรวม 436 เมกะวัตต์ ซึ่งส่งจำหน่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมใน 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค และมีเหลือส่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีกประมาณ 215 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันใช้ทั้งถ่านหินสะอาดคุณภาพดีและชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จึงมั่นใจว่าจะสามารถเดินหน้าผลิตไฟฟ้าป้อนให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและโรงงานอุตสาหกรรมได้เต็มกำลัง ทั้งยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 125 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จะใช้พืชพลังงาน อาทิ กากอ้อย ทลายปาล์ม เหง้ามันสำปะหลัง เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าส่งเข้าระบบได้ในปลายปีหน้า
ทั้งนี้ เอ็นพีเอสมีการพัฒนาพลังงานทดแทนในหลากหลายรูปแบบ การปลูกพืชพลังงานทดแทนการพึ่งก๊าซธรรมชาติในระยะยาวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เอ็นพีเอสให้ความสำคัญ ซึ่งนอกจากการส่งเสริมการปลูกต้นพลังงานแล้ว ยังมีโครงการพัฒนาสายพันธุ์ต้นหญ้าเนเปียร์ โดยอยู่ในระหว่างศึกษาความเหมาะสมในการนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย