โพลล์นักศศ.แนะรัฐลงทุนทางอื่นแทนออกพรบ.กู้เงิน 2 ล้านลบ. หวั่นทุจริต-หนี้พุ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 19, 2013 11:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ เรื่อง "นักเศรษฐศาสตร์ตั้งตัวชี้วัด(KPI) โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท" พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 56.7 อยากให้รัฐบาลดำเนินการลงทุนด้วยวิธีการอื่นๆ มากกว่าการออก พ.ร.บ.กู้เงินฯ เนื่องจากเป็นห่วงในปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

ขณะที่ร้อยละ 25.0 เห็นว่าการดำเนินการด้วยการออก พ.ร.บ.กู้เงินฯ เป็นวิธีการที่เหมาะสมแล้ว แม้ว่าอาจนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ บ้างแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หรือทำไปตามกรอบเดิมๆ หรือตามกรอบงบประมาณที่มี

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในระยะ 7 ปีข้างหน้าเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ กล่าวคือ นักเศรษฐศาสตร์ถึงร้อยละ 96.6 ยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความได้เปรียบรองรับการเปิด AEC และร้อยละ 81.6 เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินในปัจจุบันถึง 7 ปีข้างหน้าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการระดมทุนเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ส่วนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นปัญหาสำหรับการออก พ.ร.บ.กู้เงินฯ คือ ปัญหาหนี้สาธารณะและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยในส่วนของปัญหาหนี้สาธารณะนั้นร้อยละ 60.0 เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากหนี้สาธารณะอาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 ต่อจีดีพี หากประเทศเจอวิกฤติเศรษฐกิจหรือฟองสบู่แตก รวมถึงรัฐบาลอาจขาดสภาพคล่องเนื่องจากต้องใช้จ่ายในโครงการ(ประชานิยม)อื่นๆ ร่วมด้วย

ขณะที่ร้อยละ 21.7 เห็นว่าไม่น่าเป็นกังวล เพราะสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังต่ำอีก ทั้งเป็นการกู้ภายในประเทศและการลงทุนจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวจะทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้นและช่วยให้แข่งขันได้ดีขึ้น ในส่วนของความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลว่าจะดูแลปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่อาจเกิดขึ้นในโครงการนี้ได้ดีเพียงใดนั้น ร้อยละ 88.3 บอกว่าไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย ในจำนวนนี้ร้อยละ 48.3 เชื่อว่าคงมีการทุจริตอยู่ในระดับที่สูงกว่าโครงการทั่วไป

อย่างไรก็ดี หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจริงใน 7 ปีข้างหน้า นักเศรษฐศาสตร์คาดหวังว่าผลจากการลงทุนจะช่วยให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 38 ในปัจจุบันมาอยู่ที่อันดับ 30, ขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 46 มาอยู่ที่อันดับ 32, อันดับความสะดวกในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 18 มาอยู่ที่อันดับ 15, ความสะดวกในด้านการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 20 มาอยู่ที่อันดับ 16, ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีลดลงจากร้อยละ 15.2 เหลือเพียงร้อยละ 13.2 และมีการกระจายรายได้ที่ดีขึ้นโดยมีค่าสัมประสิทธิ์จีนี่ลดลงจาก 0.48 เหลือ 0.46

สำหรับตัวชี้วัด(KPI) อื่นๆ ที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องการให้รัฐบาลตั้งไว้วัดผลสัมฤทธิ์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ มีดังนี้ 1.รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดความก้าวหน้าของแต่ละโครงการ การเบิกจ่ายเงิน อัตราผลตอบแทนของโครงการ และการชำระหนี้เงินกู้อย่างสม่ำเสมอต่อสาธารณะ 2.มีตัวชี้วัดทางสังคมที่บ่งชี้ถึงความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทในมิติต่างๆ เช่น รายได้ต่อหัว การจ้างงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการกระจุกตัวของเมืองหลวง และ 3.ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตโดย Moodys, S&Pอนึ่ง ผลสำรวจดังกล่าวมาจากความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 33 แห่ง จำนวน 60 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 13-18 ม.ค.56


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ