นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรานทะเล มาร์เก้ตติ้ง กล่าวถึงภาวะเงินบาทแข็งค่าว่า ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของบริษัทฯ อย่างรุนแรง เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่น ขณะที่ภาคธุรกิจไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าส่งออกได้เนื่องจากต้องใช้เวลา 3-4 เดือนในการปรับราคา ทำให้บริษัทฯ ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรเข้ามารักษาเสถียรภาพของค่าเงินเพื่อลดผลกระทบอย่างเร่งด่วน
ขณะที่นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง มองว่า ภาวะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกอย่างแน่นอน ดังนั้นภาครัฐและเอกชนจะต้องประเมินและเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงใหม่ เนื่องจากโอกาสการขยายตัวของภาคการส่งออกหลังจากนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะแนวโน้มค่าเงินน่าจะแข็งค่าขึ้นไปอีก
ด้านนายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย(IOD) ระบุว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องแสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ตามประเด็นอยู่ที่จะบริหารจัดการกับเงินทุนเหล่านี้อย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจในภาพรวม โดยส่วนตัวเท่าที่ติดตามก็เชื่อมั่นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและมีแนวทางแก้ไข เพื่อให้ระบบทางการเงินมีเสถียรภาพหากมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นได้