นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงแผนการลงทุนของประเทศในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากใน 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังขาดการลงทุนในโครงการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ไม่เพียงพอ จึงทำให้ในธุรกิจต่างๆมีค่าใช้จ่ายสูง มีความได้เปรียบด้านการแข่งขันน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งนี้ รัฐบาลจึงได้ลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะสร้างโอกาสและรายได้ใหม่ๆจากการค้าชายแดนที่เพิ่มขึ้น อันจะเป็นการยืนยันถึงความเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และเป็นประตูสู่อาเซียนของไทย โดยจะมีการออกร่างพระราชบัญญัติ และนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณา โดยรัฐบาลขอเชิญชวนให้นักลงทุนชาวเยอรมันเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของไทย โดยรัฐบาลมีความยินดีที่จะร่วมทำงานกับนักลงทุน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ การลงทุนในการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยรัฐบาลจะลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำจำนวน 9 พันล้านยูโร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและสร้างความปลอดภัยในภูมิภาค และแก่นักลงทุนจากปัญหาอุทกภัย ทั้งนี้ รัฐบาลจะสามารถดำเนินโครงการได้ก่อนสิ้นปี โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการทบทวนข้อเสนอ ผ่านขั้นตอนการประมูลระหว่างประเทศอย่างละเอียดและโปร่งใส
ด้านการส่งเสริมการค้าและการลงทุน รัฐบาลส่งเสริมการค้าเสรีเพื่อสนับสนุนและขยายตลาด ด้วยความเป็นผู้นำของไทยในด้านความเชื่อมโยงในภูมิภาค ส่งผลให้การลงทุนต่างๆมีมูลค่ามากขึ้นและมีตลาดที่กว้างขึ้น ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้จะถูกเน้นย้ำผ่านการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ทั้งนี้ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รัฐบาลกำลังดำเนินการเจรจาเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนและ 6 ประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย
สำหรับสหภาพยุโรป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้เริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรปแล้ว และยังได้บทสรุปเกี่ยวกับข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนร่วมมือระหว่างกันในทุกด้านของไทย-สหภาพยุโรป (Thai EU Partnership Cooperation Agreement — PCA) จากการเยือนสหภาพยุโรปเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าความตกลงเหล่านี้จะช่วยผลักดันการค้าการลงทุนระหว่างสองฝ่ายอย่างได้อย่างมาก