อันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการส่งออกของประเทศ ความมีเสถียรภาพของระบบการเงินการธนาคาร ฐานะทางการคลังที่ได้รับการรักษาให้อยู่ในระดับดีโดยเปรียบเทียบและดุลการต่างประเทศที่แข็งแกร่ง
แนวโน้มความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 6.4 ในปี 2555 ที่ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจในปีฐานที่มีการชะลอตัวอย่างมากจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2554
JCR คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจน่าจะกลับมาเติบโตประมาณร้อยละ 5 ในปี 2556 จากภาคการส่งออกที่จะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งฐานะทางการคลังและระดับหนี้สาธารณะของประเทศที่ได้รับการรักษาให้อยู่ในระดับดีโดยเปรียบเทียบมาเป็นเวลานาน
"JCR คาดว่า ในปี 2556 การเติบโตของเศรษฐกิจจะเป็นไปตามที่คาดที่ประมาณร้อยละ 5 เนื่องจากภาคการส่งออกที่คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP จะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากที่หดตัวในปีก่อนหน้า ทั้งนี้จะจับตามองผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการส่งออกจากการแข็งค่าของเงินบาท และ JCR มองว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะเติบโตในระยะกลางผ่านการค้าชายแดนโดยใช้ความได้เปรียบจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอินโดจีน ประกอบกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน"
อย่างไรก็ดี JCR จะจับตามองแนวโน้มในอนาคตเนื่องจากในระยะกลางจะมีการใช้จ่ายทางการคลังครั้งใหญ่ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันอุทกภัย ในขณะเดียวกันความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศและสถานะด้านการต่างประเทศที่แข็งแกร่งจากการลงทุนโดยตรงสะสมของนักลงทุนต่างชาติยังมีขนาดใหญ่ และถึงแม้ว่าสถานการณ์ความไม่สงบทางสังคมและการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนถึงปี 2553 ได้สงบลงตั้งแต่ปี 2554 อย่างไรก็ดี ยังคงมีบางปัจจัยที่อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่ง JCR จะติดตามพัฒนาการในด้านต่างๆ และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาทางการเมืองต่อไป
"จำเป็นต้องจับตามองผลกระทบจากการใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ต่อฐานะทางการคลัง ฐานะทางการคลังของประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่งจากการที่รัฐบาลปฏิบัติตามกรอบวินัยทางการคลังอันเข้มงวดที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติวิธีงบประมาณพ.ศ. 2502 อย่างเคร่งครัด โดยในปีงบประมาณ 2556 คาดว่าจะมีการลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือร้อยละ 2.4 ของ GDP จากร้อยละ 3.4 ของ GDP ในปีงบประมาณ 2555 และขณะที่หนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากการขาดดุลการคลังติดต่อกันหลายปีแต่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังคงค่อนข้างต่ำโดยเปรียบเทียบที่ร้อยละ 45.5 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555"
อย่างไรก็ดี การขาดดุลทางการคลังอาจเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการที่รัฐบาลเตรียมผลักดันแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งรวมถึงทางหลวงและท่าเรือ นอกเหนือไปจากมาตรการป้องกันอุทกภัย โดยการจัดทำเป็นการลงทุนนอกกรอบงบประมาณปกติ JCR จะจับตามองการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางและแนวโน้มฐานะทางการคลังของประเทศไทยต่อไป
นอกจากนี้ JCR จะยังคงเฝ้าติดตามความคืบหน้าของแผนการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลไทย และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการต่อการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในอนาคตในส่วนความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกและภาคการต่างประเทศของประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่งดังจะเห็นได้จากอุตสาหกรรมการผลิตที่หนุนหลังโดยการลงทุนโดยตรงสะสมจากต่างชาติและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่มีมากกว่าหนี้ต่างประเทศทั้งหมด
ด้านทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ไม่รวมทองคำยังคงมีมูลค่ามากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 171.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2556 (เทียบเท่ากับมูลค่าการนำเข้า 9.54 เดือน ในปี 2555 และประมาณ 3 เท่า ของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555) โดยทุนสำรองทั้งหมดมีมากกว่าหนี้ต่างประเทศที่มียอดคงค้างอยู่ที่ 126.54 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555