ทั้งนี้จะมีการพบปะระหว่างผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้เกี่ยวข้องกับยางพาราระดับโลก เพื่อร่วมกันผลักดันและพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราให้ก้าวสู่ระดับโลก พร้อมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่ายางพารา รวมถึงการใช้ประโยชน์ยางธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ซึ่งภายในงานนี้จะมีตัวแทนจาก 13 ประเทศในเอเชียเข้าร่วม ประกอบด้วย 10 ประเทศอาเซียน ได้แก่ บรูไน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม, ไทย และอีก 3 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ซื้อยางรายใหญ่ของโลกเข้าร่วมด้วย
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้ประกอบด้วย 6 วาระสำคัญ ได้แก่ วาระที่ 1 ภาพรวมในเรื่องของราคายางและกลยุทธ์ในการเปลี่ยนแปลงราคา ในหัวข้อ กลยุทธ์ในการเปลี่ยนแปลงราคา การคาดการณ์ในเรื่องของการผลิต การใช้ และราคายางธรรมชาติของโลก และบทบาทในอนาคตของบริษัทร่วมทุนยาง 3 ประเทศ, วาระที่ 2 สถานการณ์และศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย ในหัวข้อ การพัฒนาอุตสาหกรรมยางของอินเดียในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต สถานการณ์ปัจจุบันและศักยภาพในการปลูกยางในประเทศพม่า และความเคลื่อนไหวของยางพาราที่ผ่านมาและความเติบโตในอนาคตในประเทศอินโดนีเซีย, วาระที่ 3 ความท้าทายของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางในส่วนที่สัมพันธ์กับการบริโภคยาง ในหัวข้อ การพัฒนาอุตสาหกรรมยางของเวียดนามในปี 2555 และในอนาคต สถานการณ์อุตสาหกรรมยางล้อและการใช้ยางธรรมชาติในประเทศจีน และความท้าทายในส่วนของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางในประเทศมาเลเซีย
วาระที่ 4 นวัตกรรมของยางธรรมชาติเพื่อการพัฒนาด้านการทำสวนยาง ในหัวข้อ การใช้เทคโนโลยีด้านดาวเทียมในการเพาะปลูกยาง แนวทางในการปลูกยางอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการด้านการเกษตรขั้นสูงเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย วาระที่ 5 แนวโน้มของการพัฒนาอุตสาหกรรมยางอย่างยั่งยืน ในหัวข้อ คุณภาพของธรรมชาติสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผลกระทบของการปลูกยางในพื้นที่ดินทรายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เปรียบเทียบนวัตกรรมของยางธรรมชาติกับยางสังเคราะห์ในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ วาระที่ 6 การเสวนาทิศทางและความเติบโตในด้านอุตสาหกรรมยางของกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศพันธมิตร
รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อประเทศในแง่ของการจ้างงานและการส่งออก เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพสูงในด้านวัตถุดิบที่เป็นข้อได้เปรียบต่อประเทศคู่แข่ง และการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งภูมิภาคเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนและอินเดียส่งผลให้ตลาดโลกมีความต้องการใช้ยางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น และทำให้ราคายางมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมยางพารามีแนวโน้มที่ดีในการขยายตัวเพิ่มขึ้น
โดยปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้ส่งออกยางอันดับหนึ่งของโลก และสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศจากผลผลิตของยางพาราปีละกว่า 4 แสนล้านบาท ประกอบกับประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีสมาชิกในภูมิภาคเข้าร่วมวันยางพาราอาเซียน นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ประเทศไทยจะแสดงศักยภาพและความพร้อมในการเป็นผู้นำด้านการผลิตยางธรรมชาติเป็นศูนย์กลางผลิตและค้าขายยางพาราที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่มีความสำคัญและสร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมอย่างมหาศาลด้วยราคาที่สูงในตลาดโลก และเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของวงการเกษตรไทย