สำหรับปัจจัยบวกต่อราคาทองคำมาจากเรื่องหนี้ยุโรปที่มาจากวิกฤติของไซปรัสและการเมืองอิตาลี รวมถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยกดดันมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้เกิดการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดจนการเทขายทองคำของกองทุน นอกจากนี้ ความน่าสนใจในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงและประเด็นค่าเงินบาทถือเป็นสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างมีความกังวล
ดัชนีราคาทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้าทั้งกลุ่มผู้ค้าทองคำและนักลงทุนมีทัศนคติในทิศทางเดียวกัน โดยยังมั่นใจว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ค่าดัชนีมาอยู่ที่ 65.06 จุด แต่เมื่อเทียบกับระดับการสำรวจช่วงเดือนมีนาคมถือว่าลดลงมาก สะท้อนมุมมองระยะยาวที่เริ่มมีทัศนคติในเชิงบวกมากลดลง โดยเมื่อเทียบกับดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้าของเดือนมีนาคมที่ผ่านมาลดลง 14.04% จากเดิมที่ 75.72 จุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ค้าทองคำ จาก 80.48 มาอยู่ที่ 55.80 หรือลดลง 25.40%
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ผู้ค้าทองคำมีความเห็นว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,650 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยกรอบการเคลื่อนไหวกรอบล่างระหว่าง 1,550-1,560 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ขณะที่กรอบบนระกว่าง 1,620-1,650 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และมีช่วงค่าเฉลี่ยราคาระหว่าง 1,585-1,605 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
ส่วนราคาทองคำในประเทศคาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบ 21,500-23,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ โดยกรอบการเคลื่อนไหวด้านล่างกลุ่มตัวอย่างให้น้ำหนักระหว่าง 21,500-22,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ ขณะที่กรอบด้านบน ให้น้ำหนักระหว่าง 22,500-23,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ และมีช่วงค่าเฉลี่ยราคาระหว่าง 22,000-22,500 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ
การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงประมาณ 250 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ จากราคาในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ระดับ 22,450 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ มาอยู่ที่ระดับ 22,200 บาทต่อหนึ่งบาททองคำในช่วงปิดตลาดวันที่ 29 มีนาคม หรือลดลงประมาณ 1.11% เป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากระดับ 29.76 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ สู่ระดับ 29.28 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือแข็งค่าขึ้นกว่า 48 สตางค์ หรือ 1.61% ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5 ประมาณ 365 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ
ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงเดือนมีนาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปิดเพิ่มขึ้นเทียบราคาปิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ระดับ 1,579.76 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ มาปิดที่ 1,597.49 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 17.73 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์