ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3012 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2937 ดอลลาร์สหรัฐในวันพฤหัสบดี ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5338 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5237 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 1.0385 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0429 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 97.68 เยน จากระดับ 96.13 เยน และเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.0175 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.0119 ดอลลาร์แคนาดา แต่ร่วงลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9330 ฟรังค์ จากระดับ 0.9396 ฟรังค์
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 88,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 190,000-200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 7.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี จากระดับ 7.7.% ในเดือนก่อนหน้านี้
การเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดนี้บ่งชี้ถึงการขยายตัวที่ช้าลงในตลาดแรงงานก่อนที่สหรัฐจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งพุ่งขึ้น 28,000 ราย แตะระดับ 385,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงแตะระดับ 350,000 ราย
ด้าน ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 158,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นราว 190,000-200,000 ตำแหน่ง
ข้อมูลแรงงานที่น่าผิดหวังได้สร้างแรงกดดันให้กับสกุลเงินดอลลาร์ โดยดอลลาร์ร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ขณะเดียวกันปัจจัยที่ทำให้ยูโรและปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ยังมาจากการที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษมีมติคงอัตราดอกเบี้ยและโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณไว้เท่าเดิมในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี
อย่างไรก็ตามในขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐยังคงพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเป็นระยะเวลา 2 วัน โดยให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าผ่อนคลายทางการเงินแบบเชิงรุกไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% เพื่อจัดการกับปัญหาเงินฝืด นอกจากนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังระบุว่า ธนาคารจะดำเนินมาตรการต่างๆผ่านตลาดเงิน เพื่อทำให้ฐานเงินเพิ่มขึ้นที่อัตราประมาณ 6.45-7.55 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี