ค่าเงินยูโรดีดตัวขึ้นแตะระดับ 1.3100 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.3004 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5332 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5254 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1. 0503 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0410 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 99.30 เยน จากระดับ 99.21 เยน แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9315ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9354 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่อ่อนแอ รวมถึงสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.พ.ซึ่งปรับตัวลดลง 0.3% จากเดือนม.ค.ที่เพิ่มขึ้น 0.8% โดยสต็อกสินค้าเดือนก.พ.ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2554 หรือในรอบ 17 เดือน และสวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายบริษัทปรับลดสต็อกสินค้าคงคลัง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ปิโตรเลียม และเภสัชภัณฑ์
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนในเดือนมี.ค. โดยเจ้าของธุรกิจที่วางแผนจะลดสต็อกสินค้าและลดการจ้างงานนั้นมีจำนวนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน เพราะได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีมติผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ในการประชุมครั้งล่าสุด โดยบีโอเจจะยังคงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเชิงรุก จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% เพื่อจัดการกับปัญหาเงินฝืด
ส่วนสกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนีเปิดเผยว่า ยอดส่งออกของเยอรมนีในเดือนก.พ.ลดลง 1.5% เมื่อเทียบรายเดือน และหดตัว 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ข้อมูลระบุว่าการส่งออกของเยอรมนีไปยังทุกภูมิภาคทั่วโลกปรับตัวลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีจะต้องใช้ระเวลานานกว่าที่เคยประเมินไว้