ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 99.76 เยน จากระดับของวันอังคารที่ 99.30 เยน และพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9331 ฟรังค์ จากระดับ 0.9315 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.3059 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3100 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.5315 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5332 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.0514 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0503 ดอลลาร์
สกุลเงินเยนยังคงอ่อนค่าลงนับตั้งแต่บีโอเจมีมติผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ในการประชุมครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกภายใต้การนำของนายฮารุฮิโกะ คูโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจคนใหม่ โดยบีโอเจจะยังคงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเชิงรุก จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% เพื่อจัดการกับปัญหาเงินฝืด
ทั้งนี้ คณะกรรมการบีโอเจมีมติว่าจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลทุกประเภท รวมถึงพันธบัตรอายุ 40 ปี พร้อมกับขยายโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุการไถ่ถอนในปัจจุบันไม่ถึง 3 ปี เป็น 7 ปี นอกจากนี้ บีโอเจจะซื้อกองทุน ETF วงเงิน 1 ล้านล้านเยนต่อปี และซื้อกองทุน REIT วงเงิน 3 หมื่นล้านเยนต่อปี พร้อมกับจะระงับ "หลักการธนบัตร (banknote principle)" ซึ่งเคยห้ามไม่ให้บีโอเจถือครองพันธบัตรรัฐบาลมากกว่ามูลค่าของธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบ
แบงก์ ออฟ โตเกียว-มิตซูบิชิ คาดการณ์ว่า เงินเยนจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 108 เยนต่อดอลลาร์ภายในระยะเวลา 12 เดือนหลังจากบีโอเจตัดสินใจเดินหน้าผ่อนคลายการเงิน
ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่หลายคนของเฟดกล่าวว่า "หากตลาดแรงงานของสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น เฟดก็ควรจะชะลอโครงการซื้อพันธบัตรในปีนี้และควรจะยุติโครงการทั้งหมดในสิ้นปีนี้" นักลงทุนจับตาดูกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 เม.ย.ในวันนี้เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 365,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 385,000 ราย