ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า หากเปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทกับค่าเงินในภูมิภาคแล้วถือว่าแข็งค่ามากสุด และแข็งค่าอยู่เพียงประเทศเดียว เพราะนับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-10 เม.ย.56 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 5-6% มากสุดในเอเซีย และแข็งค่าสูงสุดเมื่อเทียบในกลุ่มอาเซียน ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วง คือ กลุ่มสิ่งทอ และกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีกำไรค่อนข้างต่ำ
หากเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในเอเซียแล้ว เงินบาทของไทยแข็งค่า 0.77% เงินรูปของอินเดียอ่อนค่า 0.71% เงินด่องของเวียดนามอ่อนค่า 0.69% เงินริงกิตของมาเลเซียแข็งค่า 0.1% เงินดอลลาร์ของสิงคโปร์อ่อนค่า 0.97%
ก่อนหน้านี้ ส.อ.ท.เคยเสนอ 7 แนวทางในการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าให้ภาครัฐไปแล้วแต่ยังไม่เห็นผลที่เป็นรูปธรรม ดังนั้นอยากให้ภาครัฐหามาตรการที่ช่วยลดความผันผวนของค่าเงินบาท และมีเสถียรภาพ โดยให้การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเกาะอยู่ในกลุ่มของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะอาเซียน จีน บังกลาเทศ และศรีลังกา