โดยปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก 5 ปัจจัย พบว่า การบริโภคภาคเอกชนอยู่ที่ระดับ 68.10 ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน 0.87, การลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ระดับ 62.28 เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน 7.20, การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐอยู่ที่ระดับ 59.82 ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน 1.58, การส่งออกสินค้าอยู่ที่ระดับ 19.49 ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน 5.09 ขณะที่การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ 73.73 เท่ากับการสำรวจในครั้งก่อน
"สถานะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งได้รับผลดีจากปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 ใน 5 ปัจจัยที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ส่วนปัจจัยการส่งออกสินค้าเป็นปัจจัยเดียวที่ยังอยู่ในสถานะที่อ่อนแออย่างต่อเนื่องนับจากเดือนมกราคม 2555" เอกสารเผยแพร่ระบุ
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักเศรษฐศาสตร์ต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ในระดับ 50.85และเมื่อมองออกไปในอีก 6 เดือนข้างหน้า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ อยู่ในระดับ 59.51 หมายความว่า นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าจะยังคงปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน โดยมีการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
ทั้งนี้ การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 และ 6 เดือนข้างหน้าอยู่ในระดับที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยที่สดใสอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นภาคส่งออกที่ยังคงเป็นปัญหาโดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและค่าเงินบาทที่แข็งค่า
อนึ่ง ผลการสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 31 แห่ง จำนวน 60 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 9-19 เม.ย.56