ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะที่ 1.3022 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2991 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.5267 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5244 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ1.0284 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0255 ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 99.50 เยน จากระดับ 99.41 เยน และขยับขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9467 ฟรังค์ จากระดับ 0. 9445 ฟรังค์
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค.ร่วงหนักเกินคาด 5.7% จากเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลงตั้งแต่ต้นปี
ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนล่าสุดร่วงลงหนักสุดในรอบ 7 เดือนและดิ่งหนักกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับตัวลดลง 3% เนื่องจากอุปสงค์เครื่องบินเชิงพาณิชย์และการลงทุนภาคธุรกิจชะลอตัว
ส่วนค่าเงินยูโรดีดตัวขึ้นแม้มีกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรปอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 2 พ.ค.นี้ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นรวมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 46.5 และ PMI เบื้องต้นรวมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของเยอรมนีในเดือนเม.ย.ลดลงสู่ระดับ 48.8 จาก 50.6 ในเดือนมี.ค. ซึ่งดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจของภูมิภาคยังเผชิญภาวะหดตัว
ขณะที่สกุลเงินเยนยังคงได้รับแรงหนุนหลังจากที่ประชุม G20 ไม่ได้ต่อต้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรวงเงิน 7 ล้านล้านเยน หรือ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
นักลงทุนจับตาดูกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 เม.ย.ในวันนี้เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 351,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 352,000 ราย