โดยธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเข้าลงทุนสูงสุดเป็นธุรกิจบริการ 17 ราย มีเงินลงทุน 4,843 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบริการทางบัญชี กฎหมาย บริการให้เช่าพื้นที่อาคาร และรับค้ำประกันหนี้ โดยประเทศที่ได้รับอนุญาตได้แก่ ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ฮ่องกง, มาเลเซีย, เยอรมนี, บริติช เวอร์จิ้น, ไอส์แลนด์, เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจสำนักงานผู้แทน 7 ราย มีเงินลงทุน 22 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจรายงานความเคลื่อนไหวทางธุรกิจ การค้า การลงทุน ตลอดจนความต้องการใช้สินค้าและบริการ โดยประเทศที่ได้รับอนุญาต ได้แก่ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ รองลงมาเป็นธุรกิจค้าปลีก 3 ราย เงินลงทุน 52 ล้านบาท ได้แก่ การค้าปลีกแม่พิมพ์และชิ้นส่วนแม่พิมพ์ การค้าปลีกมอเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยประเทศที่ได้รับอนุญาต ได้แก่ ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐมอริเชียส
ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจค้าส่ง 1 ราย มีเงินลงทุน 9 ล้านบาท ได้แก่ การค้าส่งเหล็กทุบขึ้นรูปสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ โดยลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น และผู้ลงทุนคู่สัญญาช่วงกับภาครัฐกับรัฐวิสาหกิจ 1 ราย มีเงินลงทุน 165 ล้านบาท ได้แก่ บริการออกแบบ จัดหา ก่อสร้าง ติดตั้งและทดสอบเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมพระนครเหนือ จากประเทศญี่ปุ่น
"ในเดือนเม.ย. มีธุรกิจที่ได้รับอนุญาตลดลงจากเดือนก่อน 17% แต่เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 207% เพราะเดือนนี้มีผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจรับค้ำประกันหนี้ให้แก่บริษัทในเครือ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีเงินลงทุนสูง และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนพบว่า จำนวนธุรกิจที่ได้รับอนุญาตลดลง 6% แต่เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 210%" นายอิทธิพล กล่าว
ส่วนยอดการลงทุนของต่างด้าวรวม 4 เดือน(ม.ค.-เม.ย.56) มีการอนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในไทยแล้ว 128 ราย เงินลงทุน 8,731 ล้านบาท มีจำนวนธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเพิ่มขึ้น 16% และเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 168%" นายอิทธิพล กล่าว