ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าในขณะนี้ เพราะมองว่าปี 56 ควรเป็นปีที่เศรษฐกิจโตได้อย่างมีศักยภาพดีและทำงานได้ง่ายกว่าปี 55 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ทำให้เกิดความไม่มั่นใจจากภาคเอกชน แต่ภาวะดังกล่วก็ยังทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 55 เติบโตได้ถึง 6.4% ดังนั้นหากอัตราแลกเปลี่ยนในปีนี้ไม่แข็งค่าจนเกินไป ปีนี้ก็น่าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตได้ง่ายขึ้น
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.เคยออกมายอมรับว่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป ดังนั้นจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้เงินบาทไม่แข็งค่าเกินไป เพราะเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้ดีอีกปีหนึ่ง ขณะที่รัฐบาลยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าอย่างราบรื่น
"ขอให้สบายใจในหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ได้เป็นเรื่องที่ดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะ เพราะประเทศนี้ไม่ใช่ของใคร แต่เป็นของประชาชน" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าว
พร้อมเห็นว่า ทั้ง ธปท.และสภาพัฒน์เองต่างต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้เต็มศักยภาพ สามารถส่งออกได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนแต่เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ดี ขอให้มั่นใจในกลไกการทำงานของประเทศ รวมถึงความมีอิสระที่ต้องถ่วงดุลการทำงานระหว่างกัน
นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้คงยังไม่สามารถบอกได้ว่าการหารือในวันนี้จะมีการออกมาตรการใดบ้างเพื่อมาดูแลสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่า