“เชื่อมั่นว่าหุ้น CHO จะได้รับความสนใจอย่างสูงจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานดี ประกอบกับเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมในด้านการออกแบบ สร้างสรรค์ ผลิตตัวถังและติดตั้งระบบวิศวกรรมที่เกี่ยวกับยานยนต์ชั้นแนวหน้าในระดับโลก อีกทั้งบริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านโลจิสติกส์เป็นของตัวเอง ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักที่สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่สูง ขณะเดียวกัน CHO มีโครงการการวิจัยและพัฒนา(R&D) อย่างต่อเนื่อง โดยในอนาคตบริษัทฯ มีโครงการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาระบบออโตเมชั่นเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ซึ่งด้วยเหตุนี้จะทำให้ CHO มีศักยภาพในการเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง" นายวิชา กล่าว
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด(APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวถึง ราคาขายหุ้นไอพีโอที่ระดับ 1.80 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจาก CHO มีจุดแข็งตรงที่มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรม ประกอบกับมีผลิตภัณฑ์ระดับเวิล์ดคลาส พร้อมศักยภาพในการแข่งขันในระดับโลก บวกด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของบริษัทฯนั้น จึงทำให้มั่นใจว่าหุ้นเพิ่มทุนของ CHO จะได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม เมื่อเปิดให้จองซื้อ และคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบัน CHO มีทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท เรียกชำระแล้ว 130 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 520 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 200 ล้านหุ้น จะมีทุนชำระแล้วเป็น 180 ล้านบาท
ด้านนายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHO เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาระบบออโตเมชั่นเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต
บริษัทตั้งเป้าปี 56 รายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 55 ที่มีรายได้ 669 ล้านบาท ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดี และมีพันธมิตรชั้นนำระดับโลกจากประเทศเยอรมันนี อังกฤษ และญี่ปุ่น เป็นกองหนุนให้เดินหน้าลุยธุรกิจได้อย่างเต็มที่และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยขณะนี้มีงานในมือ(Backlog)แตะ 194.37 ล้านบาท
นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทจะส่งมอบเรือหลวงกระบี่บริษัทได้ต่อขึ้นมาให้กับกองทัพเรือในเดือนสิงหาคม 56 ซึ่งคาดว่าสามารถจะรับรู้รายได้ราว 3,000 ล้านบาท และบริษัทยังมีออร์เดอร์ต่อเรือรบ 6 ลำให้กับกับลูกค้าจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
นอกจากนี้บริษัทคาดว่าหลังจากเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลัดทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) จะมีการเสนอการเข้าประมูลงานสร้างตู้รถไฟให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และเสนอประมูลงานสร้างตู้ขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มเติม
บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานในปี 56 มูลค่างาน 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้งานราว 50%จากมูลค่างานที่เข้าประมูล โดยงานที่เข้าจะเข้าประมูลประมูลได้แก่ งานสร้างรถไฟตู้นอน 115 ตู้ มูลค่างาน 4,000 ล้านบาท งานสร้างหัวรถจักร 50 หัว มูลค่างาน 4,000 ล้านบาท และงานรถเมล์ NGV จำนวน 3,000 คัน แต่บริษัทจะไม่เข้าประมูลรถ NGV ทั้งหมด 3,000 คัน มูลค่างาน 2,000 ล้านบาท คาดว่างานใหม่ทยอยมีข้อสรุปออกมาภายในปลายปี 56