โดยปัจจัยที่ผู้ประกอบการเห็นว่ามีความสำคัญต่อการปรับตัวเป็นอันดับแรก 91.5% เป็นการบริหารต้นทุนและราคา อันดับรองลงมา 77.8% เป็นการปรับตัวด้านภาษา และอีก 71.2% เป็นการเจาะตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวได้เร็วที่สุด คือ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก คิดเป็นจำนวนผู้ที่ปรับตัวและกำลังดำเนินการปรับตัว 82.4% ที่มีการปรับตัวและกำลังปรับตัว เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าเป็นวัตถุดิบขั้นกลางของอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องการสินค้าที่มีคุณภาพอีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความรู้และกระบวนการผลิตใช้เทคโนโลยีในระดับทันสมัย นอกจากนี้ยังมีอัญมณีและเครื่องใช้ที่มีไฟฟ้าปรับตัวอยู่ระดับ 55.5% สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวช้า คือ อุตสาหกรรมเครื่องหนัง เซรามิค และผลิตภัณฑ์ไม้
สำหรับปัจจัยที่ต้องเร่งปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน คือ การจัดการเรื่องราคาต้นทุนสินค้าให้สามารถแข่งขันได้ เช่น ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ สินค้าคงคลัง ,ฝีมือแรงงาน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าในสินค้าด้วย(Value Added) อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทย 78.6% เชื่อว่าตนเองมีความพร้อมในการเข้าสู่ AEC จากความคิดเห็นของเอกชนการปรับตัวของอุตสาหกรรมนั้นควรจะพิจารณาตลอดห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain) จึงจะครอบคลุมกลุ่ม SMEs ซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน และต้องศึกษาตลอดทั้ง Supply Chain อุตสาหกรรมอีกด้วย
นายสมชาย กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้มีมาตรการและโครงการต่างๆ ที่รองรับและให้การสนับสนุนในการปรับตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การบริหารต้นทุนและราคา เช่น โครงการภายใต้แผนงาน Productivity ของทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเจาะตลาด กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้มีโครงการเตรียมความพร้อมและการสร้างเครื่อข่ายธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ AEC โดยมีโรงงานที่เข้าร่วมโครงการนี้เป็นจำนวนมากโดย แบ่งเป็น กลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 คือ โรงงาน 650 โรงงาน กลุ่มที่ 2 ผู้ประกอบการ 15,000 คน แยกเป็นผู้ตระหนักและเกิดการรับรู้ 10,000 คน และอบรมเชิงลึก 5,000 คน และกลุ่มที่ 3 เป็นคนงาน 5,000 คน
นอกจากนี้ปัจจัยทางด้านภาษายังเป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อ SMEs ในการเข้าสู่ AEC แต่การดำเนินการปรับตัวยังอยู่ในระดับต่ำ คือ ประมาณ 25% อุตสาหกรรม SMEs จึงจำเป็นต้องหาแนวทางเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยปรับลดต้นทุนการผลิต พัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ ฝีมือแรงงาน และทักษะด้านภาษาให้ดีขึ้น รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านต่างๆ ของอาเซียน เช่น กฎหมายกฎระเบียบ ความต้องการสินค้า และรสนิยมการบริโภคของประเทศต่างๆ ในอาเซียน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ