สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การประชุมกลุ่มยูโรโซน ที่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งจะมีผู้นำและรัฐมนตรีการคลังเข้าร่วม ที่ประชุมจะมีมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างไร หลังมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.75% เป็น 0.5% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การเจรจาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านที่จะจัดขึ้น 2 แห่งในวันที่ 15 พ.ค.นี้ โดยการประชุมแรกจะเป็นการเจรจาระหว่างสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) กับอิหร่าน ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ส่วนการประชุมถัดมาจะเป็นการเจรจาระหว่างหัวหน้าคณะผู้แทนจาก 6 ชาติมหาอำนาจกับอิหร่าน ณ กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี
รวมทั้งติดตามสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรีย ประเด็นการใช้อาวุธเคมีซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายผู้ต่อต้านเป็นผู้ใช้อาวุธดังกล่าว รวมทั้งติดตามปฎิกิริยาตอบโต้ของซีเรียและนานาชาติต่อการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล โดยอิสราเอลอ้างว่าเพื่อสกัดกั้นการขนถ่ายอาวุธจากอิหร่านไปยังกลุ่มฮิสบอเลาะห์ในเลบานอน ซึ่งเคยโจมตีตนในอดีต
นอกจากนี้ยังต้องติดตามว่ารายงานสถานการณ์น้ำมันประจำเดือนเมษายนและรายงานประมาณการณ์อุปสงค์อุปทานน้ำมันของโลกในระยะกลางของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ที่ออกมาปรับลดความต้องการใช้น้ำมันโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่
การเจรจาระหว่างพรรคเดโมเครตกับพรรครีพับลิกันในเรื่องการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯที่จะครบกำหนดในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ว่าพรรครีพับลิกันจะสร้างเงื่อนไขในการตัดลดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเพิ่มเพดานหนี้หรือไม่ หลังมีการตัดลดงบประมาณรายจ่ายจำนวน 85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ส่วนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 1/56 ของประเทศในยูโรโซนและญี่ปุ่น การผลิตภาคอุตสาหกรรมของทั้งสหรัฐฯ ยูโรโซนและจีน รวมทั้งตัวเลขการขอสร้างบ้านใหม่และความรู้สึกของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ