ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 101.93 เยน จากระดับของวันศุกร์ที่ 101.54 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9585 ฟรังค์ จากระดับ 0.9571 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 1.2970 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.2982 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ดิ่งลงมาอยู่ที่ระดับ 1.5290 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5354 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนตัวลงสู่ระดับ 0.9953 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0009 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นขานรับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 0.1% ซึ่งสวนทางคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่าตัวเลขจะลดลงต่อเนื่องจากในเดือนมี.ค. โดยยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้นผิดคาดแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนหลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เริ่มกำหนดกลยุทธิ์ในการค่อยๆลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตร โดยคณะกรรมการเฟดกำลังหารือกันเกี่ยวกับกรอบเวลาในการชะลอโครงการดังกล่าว
ส่วนเงินเยนอ่อนค่าลงหลังจากมีรายงานว่ารมว.คลังกลุ่มประเทศ G7 ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงรุกของญี่ปุ่น ในระหว่างการประชุมที่ประเทศอังกฤษเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ส่วนผลการประชุม G7 นั้น นายจอร์จ ออสบอร์น รมว.คลังอังกฤษเปิดเผยว่า ที่ประชุมลงมติว่าจะไม่กำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ พร้อมระบุว่า ยังไม่จำเป็นต้องมีแผนการสร้างความแข็งแกร่งด้านการคลังในระยะกลาง และ G7 จะผลักดันมาตรการรับมือกับภาคธนาคารที่ประสบปัญหา โดยไม่ต้องผลักภาระให้กับประชาชนผู้เสียภาษี
นายออสบอร์นกล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมว่า "โดยทั่วไปแล้ว การหารือของเราในการประชุมครั้งนี้ได้ยืนยันว่า การจะกอบกู้เศรษฐกิจทั่วโลกให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้นั้นยังคงมีอุปสรรคท้าทายหลายด้าน และเราจะไม่เพิกเฉยต่ออุปสรรคแหล่านี้ ในฐานะที่เราเป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ในการดูแลเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทุกประเทศในกลุ่ม G7 "