ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ผลผลิตมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมจีนในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากในเดือนมี.ค. แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 9.8% ส่งผลให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ผลผลิตมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมวัดได้จากมูลค่าผลผลิตในขั้นสุดท้ายของการผลิต หรือมูลค่าของผลผลิตทั้งหมดลบด้วยค่าใช้จ่ายขั้นกลาง เช่น ค่าวัตถุดิบ และค่าแรง
ธนาคาร แบงก์ ออฟ คอมมิวนิเคชั่นส์ อินเตอร์เนชันแนล ระบุในรายงานว่า มาตรการคุมเข้มด้านอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน และระบบธนาคารเงาอาจจะจำกัดการผลิตของอุตสาหกรรมหนักซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุนในประเทศ ขณะที่การขยายตัวที่อ่อนแอของอุตสาหกรรมเบาก็สะท้อนถึงการจับจ่ายของผู้บริโภคที่ซบเซา
นอกจากนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงยังได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากมาตรการป้องกันความเสี่ยงของรัฐบาล นายสเว ย่าซวน นักวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคจากไชน่า เมอร์ชานท์ ซิเคียวริตีส์กล่าวว่า “ขณะนี้ ดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนจะทนทำเป็นเมินเฉยมากขึ้นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมากขึ้น"
ข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ของภาคผลิตในจีน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจของจีนอย่างกว้างๆ ร่วงลงสู่ระดับ 50.6 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 50.9 ในเดือนมี.ค. แสดงให้เห็นว่า การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มั่นคงนัก
นอกจากนี้ ข้อมูลด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ในเขตเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้น 20.6% ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ และต่ำกว่าอัตราที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 21%
ส่วนยอดค้าปลีกในเดือนเม.ย. ขยายตัว 12.8% จากปีที่แล้ว ซึ่งพอจะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าของจีนปรับตัวขึ้น 6.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยอัตราเติบโตกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยจากในเดือนมี.ค. ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวตามฤดูกาลของกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรมจีนซึ่งกำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไม่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วในปีนี้ เนื่องจากปัจจัยกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และวงจรการสต็อกสินค้าใหม่ที่ล่าช้า
บทวิเคราะห์โดย สำนักข่าวซินหัวรายงาน