นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามนายกิตติรัตน์ ถึงผลการประชุมดังกล่าวและสอบถามนายกิตติรัตน์ถึงทิศทางของนโยบายทางการเงิน ซึ่งนายกิตติรัตน์เล่าให้ที่ประชุม ครม.ฟังว่า บรรยากาศการประชุมวานนี้ดีเหมือนอย่างที่ปรากฎในสื่อมวลชน แม้ว่าจะไม่ได้หารือถึงการลดดอกเบี้ย
โดยนายกิตติรัตน์ ระบุว่า ขณะนี้เชื่อว่าธปท.รับทราบแล้วว่าทุกภาคส่วนให้ความไว้วางใจ ธปท.และคาดหวังว่า ธปท.จะมีมาตรการในการดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพมากที่สุด เนื่องจากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคซึ่งถือเป็นคู่แข่งทางการค้าโดยตรงของไทย
ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เองไม่ได้กำหนดตัวเลขอัตราแลกเปลี่ยนว่าจะต้องอยู่ที่เท่าไหร่ เพียงแต่ขอให้เงินบาทอย่าแข็งมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และไม่ได้หมายถึงจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งไม่ใช่คู่แข่งทางการค้าโดยตรงของไทย
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม นายกิตติรัตน์ มองว่า ถ้าหากอยู่ที่ระดับ 29 บาทปลายๆ จนถึง 30 ปลายๆ เชื่อว่าภาคเอกชนจะยังรับได้ ถ้าไม่มีการแข็งค่าไปที่ระดับ 29 บาทต้นๆ และ 28 บาทปลายๆ ก็คงจะไม่มีปัญหา และเอกชนน่าจะยังรับได้อยู่
พรอ้มกันนี้ นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงข้อเรียกร้องของภาคเอกชนทั้งมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาว ซึ่งบางมาตรการน่าจะดำเนินการได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง เช่น กรณีผู้ประกอบการผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็น ขอให้มีมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่มลง 7% นอกจากนี้ผู้ประกอบการโรงแรมขอให้ลดหย่อนภาษีสำหรับโรงแรมที่จะมีการปรับปรุงตกแต่งสถานที่ใหม่เพื่อรองรับ AEC ในอนาคต ซึ่งนายกิตติรัตน์กล่าวหลังจากนี้จะมีการหารือเกี่ยวกับมาตรการเหล่านี้