"เป็นห่วงครับ ถ้ามองแค่ปัจจุบันกับอนาคตสั้นๆภายในปีเดียว ก็ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าคิดยาวคิดไปล่วงหน้า 2-3 ปี อันตรายครับ" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พร้อมยกตัวอย่างกรณีญี่ปุ่นที่วานนี้ประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจไตรมาส 1/56 GDP เติบโตถึง 3.5% นับมากสำหรับญี่ปุ่น เพราะเศรษฐกิจแย่มานาน ค่อนข้างชัดว่าผลการเติบโตส่วนใหญ่ก็ได้มาจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลงกว่า 20% รวมทั้งพิมพ์ธนบัตรออกมามากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำได้ก็เพราะธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นตรงกับรัฐบาล จึงสามารถทำยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม(Holistic Approach) โดยประธานนโยบายการเงิน (Monetary Policy) กับนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนญี่ปุ่นคงยังต้องมีอีกหลายมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่งกว่านี้
แต่อย่างกรณี ธปท.ก็มีกฎหมายของรัฐบาลช่วงรัฐประหารแยกตัวเองออกมา จนไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งทำให้ดูน่าวิตกเพราะต่างคนต่างใช้นโยบายของตน มีความเชื่อของตน
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ประเทศไทยนั้น GDP ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท GDP จะหายไปประมาณ 0.7% รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินลงสู่รากหญ้า และเพิ่มงบลงทุนของรัฐบาล เช่น โครงการ 2 ล้านล้านบาท แต่หากนโยบายการคลังถูกมากเกินไปก็อันตราย เพราะฉะนั้นนโยบายการเงินต้องช่วยไม่ใช่เป็นภาระแบบนี้
"สิ่งที่กังวลก็คือ เรามีคนดี คนมีความรู้และการศึกษาสูงมาก แต่เป็นพวกมี Knowledge แต่มี Wisdom ไม่พอ จะรู้ไม่เท่าทันโลกทุนนิยม ที่หนักกว่านั้นคือ พวก Wisdom ไม่พอดันขยันพูดอีกต่างหาก"พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ