โดยเฉพาะแนวทางในการใช้กลไกลตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ที่จะทำให้ราคายางพารามีความยั่งยืน เนื่องจากที่ตลาดล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) ของประเทศญี่ปุ่นนั้นมียางอยู่สต๊อก ประมาณ 14,000 ตัน แต่ปัจจุบันตลาด (TOCOM) กลับเป็นผู้กำหนดราคายาง และเป็นสถานที่รับซื้อยางจากทั่วโลกทั้งที่มียางอยู่สต๊อกน้อยมาก ดังนั้น หากไทยได้เป็นผู้นำการรับซื้อยางเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นจะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพและคุณภาพยางพารามากขึ้น และมีการพัฒนาน้ำยางต่อไป
สำหรับแนวโน้มราคายางในอนาคต จากการวิเคราะห์จากสมาคมยางพาราแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่า ราคายางจะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆตามกลไกลราคาตลาดโลกซึ่งเป็นช่วงที่ยางพาราขาดตลาด และยางอยู่ในช่วงผลิใบและฝนตกชุกมาก เกษตรกรไม่สามารถออกกรีดยางได้ อีกทั้งยังมีรายการสั่งซื้อจากต่างประเทศอีกจำนวนมาก แต่ช่วงระยะเวลาสั้นๆคาดว่าราคายางจะแตะที่ 95-100 บาท/กก.
ส่วนโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางที่ได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งระยะเวลาเพียง 5 เดือนที่ดำเนินโครงการพบว่าสามารถแก้ไขปัญหาและสามารถผ่านช่วงวิกฤติราคายางตกต่ำที่เกิดขึ้นได้ โดยใช้เงินรัฐบาลจำนวน 5,000 ล้านบาทในการเข้าไปสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย และเชื่อมั่นว่าตลอดระยะเวลานั้นไม่มีการทุจริตแต่อย่างใด มีความโปร่งใสในการทำงาน โดยได้มอบหมายให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ทำการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วน และทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ทำการเบิกจ่ายเงินแก่เกษตรกรให้รวดเร็วที่สุด