จีนได้ปรับปรุงกฏข้อบังคับเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ปี 2546 แต่ราคาบ้านโดยเฉลี่ยทั่วประเทศก็ยังเพิ่มสูงขึ้นกว่า 3 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยราคาบ้านในบางพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 10 เท่าจากราคาเดิม
การดำเนินการเพื่อควบคุมราคาบ้านครั้งล่าสุดของรัฐบาลนั้น เป็นการเสนอแนวทางเพื่อผลักดันหน่วยงานท้องถิ่นให้ปรับใช้มาตรการต่างๆ อาทิ การเรียกเก็บภาษีกำไรส่วนทุน 20% จากยอดขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในกลุ่มของผู้ที่สนใจจะซื้อและขายบ้าน และทำให้มีการซื้อขายบ้านมือสองกันอย่างคึกคักในหลายเมือง
ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า แค่เดือนมีนาคม 2556 เพียงเดือนเดียว ยอดขายบ้านมือสองในปักกิ่งก็สูงกว่า 40,000 หลัง เพิ่มขึ้น 300% จากเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ราคายอดขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 2% จากสถิติในเดือนกุมภาพันธ์
ตัวเลขสถิติอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2556 ยังคงไม่มีทีท่าที่ดีขึ้น การเก็บตัวอย่างจากมณฑลในจีน 70 แห่งระบุได้ว่า ราคาบ้านใน 67 มณฑลสูงขึ้นกว่าเดือนมีนาคม ขณะที่ราคาบ้านในเซี่ยงไฮ้ กวางเจา และเสิ่นเจิ้น เพิ่มขึ้น 2.0%, 2.1% และ 1.8% ตามลำดับ
ผลการศึกษาวิจัยโดยสถาบันสังคมศาสตร์จีน (CASS) ที่เปิดเผยไปเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน เตือนว่า ภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของจีนขาดสเถียรภาพ รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนแปลง และใช้มาตรการควบคุมตลาด มิฉะนั้นอาจจะไม่สามารถควบคุมราคาบ้านโดยรวมไว้ได้
หลี่ เอินปิง นักวิจัยจากสถาบันศึกษาวิจัยสภาพแวดล้อม และชุมชนเมืองแห่ง CASS ระบุ "การที่อุปสงค์มีมากกว่าอุปทานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น"
หลี่ เอินปิง กล่าวว่า "หากมีการใช้มาตรการเก็บภาษีกำไรส่วนทุน 20% อย่างเข้มงวด ราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิม เนื่องจากภาษีจะเป็นปัจจัยที่กดดันอุปทาน ในอีกมุมหนึ่ง ภาษีจะเป็นภาระสำหรับผู้ที่ซื้อบ้าน หรือ ผู้ที่ไม่สามารถหาซื้อบ้านมือสองได้ก็จะหันมาซื้อบ้านใหม่ ซึ่งจะทำให้ราคาบ้านใหม่มีราคาสูงขึ้น"
นอกจากนี้ ความพยายามของรัฐบาลกลางเพื่อชะลอความร้อนแรงของตลาดอสังหาฯหลักของจีนกำลังได้รับผลกระทบจากหน่วยงานระดับท้องถิ่น ซึ่งไม่ต้องการให้เกิดการชะลอความร้อนแรงของตลาด เนื่องจากเงินที่ได้จากการขายที่ดินเป็นรายได้หลักของรายได้การคลังของประเทศ และการเติบโตของ GDP
การจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเปรียบเสมือนวิธีแก้ปัญหาราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นที่ใช้ได้จริง โดยมาตรการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมการซื้อบ้านที่มีเป้าหมายเพื่อการลงทุน
โครงการนำร่องจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ของจีนเริ่มขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2554 ในเซี่ยงไฮ้ และเขตฉงชิ่ง
เซี่ยงไฮ้ได้เรียกเก็บภาษีซื้อบ้านตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2554 ในอัตราภาษี 0.4% และ 0.6% ขณะที่ยกเว้นภาษีสำหรับบ้านที่มีขนาด 60 ตร.ม. สำหรับทุกครัวเรือนที่ได้มีการลงทะเบียน
การจัดเก็บภาษีอสังหาฯในฉงชิ่งจะเรียกเก็บจากบ้านที่มีการซื้อขายทั้งก่อน และหลังโครงการนำร่อง ที่อัตราภาษี 0.5% และ 1.2% โดยการจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่ฉงชิ่งมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ซื้อบ้านหรู
มาตรการภาษีดังกล่าวถือว่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมการซื้ออสังหาฯเพื่อเก็งกำไรในเซี่ยงไฮ้ และเขตปกครองตนเองฉงชิ่ง โดยทั้ง 2 เมืองจะปรับเพดานภาษีเพิ่มขึ้นภายในปีนี้ เนื่องจากราคาบ้านในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน
หนังสือพิมพ์ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัล รายงานว่า วาระการปฏิบัติงานของรัฐบาลในปีนี้ มีการเสนอรายชื่อมณฑลที่จะใช้มาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์นำร่องเพิ่มอีก
เหลียว หยิงมิน นักวิจัยประจำศูนย์วิจัยการพัฒนาแห่งสภารัฐมนตรี กล่าวว่า การขยายพื้นที่เพื่อบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีอสังหาฯนำร่อง จะเป็นประโยชน์ในระยะยาวสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน เนื่องจากการกำกับดูแลจะอ่อนตัวลงในช่วงดังกล่าว
เหลียว หยิงมิน "ภาษีอสังหาฯช่วยสกัดกั้นการซื้อบ้านเพื่อการลงทุน ลดช่องว่างในการหารายได้ และช่วยลดภาระทางการคลังบางส่วนของรัฐบาลท้องถิ่นด้วยรายได้จากภาษี"
ลุย ฮงหยู รองคณะบดี คณะวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยชิงหัว ออกมาเตือนว่า ภาษีอสังหาฯ ไม่สามารถควบคุมภาวะร้อนแรงในตลาดอสังหาฯของจีนได้ภายในคืนเดียว มาตรการดังกล่าวต้องใช้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ หน่วยงานด้านการเงิน ระบบการจัดเก็บภาษี ที่ดิน และบ้าน สำนักข่าวซินหัวรายงาน