สำนักงานระบบซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของจีน (CFETS) ระบุว่า สกุลเงินหยวนอ่อนค่าลง 0.07% แตะที่ 0.061818% ต่อดอลลาร์ในวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากที่แข็งค่าขึ้น 0.56% แตะสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.061811% เมื่อวันจันทร์ และตั้งแต่ต้นปีนี้ ค่ากลางของสกุลเงินหยวนพุ่งขึ้นราว 1.7%
นายเฉิน เต๋าฟู่ นักวิจัยจากศูนย์พัฒนาการวิจัยแห่งรัฐ (DRC) กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินหยวนเป็นผลมาจากประเทศต่างๆทั่วโลกได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย อีกทั้งเป็นผลมาจากการร่วงลงของเงินเยน และกระแสคาดการณที่ว่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารกลางในยูโรโซน อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ โปแลนด์ และอิสราเอล ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนพฤษภาคม ท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเงินเยนที่ร่วงลงอย่างรุนแรง ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเรื่องความพยายามลดค่าเงินเพี่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ธนาคารกลางจีนยังคงไม่เคลื่อนไหวในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นายหลี่ ฮุยหยง นักวิเคราะห์จากเสิ่นหยิน วันกั๋ว ซิเคียวริตี้ส์กล่าวว่า ดูเหมือนจีนมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่จีนมองว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น แต่การที่จีนไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้น ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของจีนและประเทศอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น และดึงดูดเม็ดเงินเก็งกำไรเข้าสู่จีนมากขึ้น ซึ่งทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายหลี่กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากภาพรวมแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดที่จะควบคุมด้านการเงินการปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยและอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ
สำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศ (SAFE) คาดว่า เม็ดเงินเก็งกำไรที่ไหลเข้าสู่จีนนั้น แฝงตัวอยู่ในรูปของธุรกรรมการชำระบัญชีการค้า พร้อมกับกล่าวว่า ทางสำนักงานจะเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลการทำธุรกรรมของเทรเดอร์และธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงอันเกิดมาจากเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย
นายหลี่ ยูหวน อาจารย์จากสถาบันสังคมศาสตร์ของกวางตุ้งกล่าวว่า การส่งออกสินค้าท้องถิ่นของจีน ได้แก่ รองเท้า เสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์นั้น ซบเซาลงเนื่องจากค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการเสียเปรียบด้านการแข่งขัน แต่อุตสาหกรรมสินค้าไฮเทคกลับฟื้นตัวได้ดีกว่า ภายใต้แรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินหยวน สำนักข่าวซินหัวรายงาน