AREA ห่วงแนวโน้มอุปทานที่อยู่อาศัยตจว.ล้นตลาด แนะเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 30, 2013 14:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ประเมินว่าที่อยู่อาศัยที่ในจังหวัดภูมิภาคอาจล้นตลาด แบ่งเป็น ในภาคเหนือ มองว่า ในท้องที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ สินค้าที่พึงระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ บ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 150 หน่วย และขายได้ช้ามาก ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่ามีราคาสูงเกินไป ส่วนในอำเภอสันทรายห้องชุดราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปก็ขายได้ช้ามากแต่ไม่น่าเป็นห่วงเพราะเหลืออยู่เพียง 13 หน่วยเท่านั้น สำหรับในพื้นที่อำเภอสันกำแพงบ้านเดี่ยวราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทก็แทบจะขายไม่ได้แต่ก็ยังโชคดีที่มีจำนวนเหลืออยู่เพียง 35 หน่วย

ส่วนอำเภอแม่ริม สินค้าที่มีราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นทั้งบ้านเดี่ยวและห้องชุดขายได้ช้ามาก ส่วนสินค้าราคาต่ำกว่านี้ยังขายได้พอสมควร อย่างไรก็ตามอุปทานก็เหลืออยู่ไม่มากนัก สำหรับในเขตอำเภอหางดงบ้านเดี่ยวราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปแทบจะขายไม่ได้เลยแต่ทั้งนี้มีเหลืออยู่เพียง 50 หน่วย ส่วนในพื้นที่อำเภอสารภีที่ดินจัดสรรแปลงละเกือบ 1 ล้านบาทแทบจะขายไม่ได้ แต่ก็มีจำนวนเหลืออยู่เพียง 50 หน่วย

สำหรับในจังหวัดเชียงราย สินค้าแทบทุกกลุ่มขายดี ยกเว้นตึกแถวจำนวนประมาณ 200 หน่วยที่ขายในราคา 2-3 ล้านบาท อาจประสบปัญหาในการขาย รวมทั้งห้องชุดราคา 5-10 ล้านบาทก็ขายได้ยากมากเพราะมีราคาแพง

สำหรับภาคตะวันออก ในจังหวัดชลบุรีโดยเฉพาะในอำเภอเมือง ทาวน์เฮ้าส์ราคา 3-5 ล้านบาทซึ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ราคาสูงสุดในพื้นที่นี้ขายไม่ค่อยออก ส่วนในเขตเมืองพัทยาฝั่งติดทะเลห้องชุดราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปขายแทบไม่ได้ทั้งนี้คงเป็นเพราะราคาสูงเกิน มีผู้ซื้อจำนวนน้อย เช่นเดี่ยวกับห้องชุดราคา 3-5 ล้านบาทในโซนพัทยาฝั่งเนินเขาก็ขายได้ค่อนข้างช้าแต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงเพราะเหลืออยู่เพียง 50 หน่วย ที่น่าห่วงคงเป็นบ้านแฝดราคา 3-5 ล้านบาท ที่ยังมีเหลืออยู่เกือบ 150 หน่วย

ในเขตอำเภอเมืองระยอง มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ขายในราคา 3-5 ล้านบาทซึ่งเป็นราคาสูงสุด เหลือขายอยู่เกือบ 100 หน่วยคาดว่าจะต้องใช้เวลาขายอีกเกือบ 40 เดือน สำหรับในพื้นที่มาบตาพุดทาวน์เฮ้าส์ราคาเกือบ 1 ล้านบาทก็ขายได้ช้ามากแต่ก็เหลืออยู่เพียง 40 หน่วยเท่านั้น ในพื้นที่บ้านฉาง บ้านพลา ห้องชุดราคา 3 ล้านบาทเศษก็ขายแทบไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเหลืออยู่เพียงไม่ถึง 10 หน่วย

ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมา บ้านเดี่ยวราคาเกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งแม้ราคาถูกก็กลับขายได้ช้าคงเป็นเพราะทำเลไม่ดี รวมทั้งบ้านแฝดราคาประมาณ 8 แสนบาทก็ขายได้ช้ามากเช่นกัน ทาวน์เฮ้าส์ราคา 3-5 ล้านบาทก็ขายได้ช้าเช่นกัน ส่วนจังหวัดขอนแก่นไม่มีสินค้าใดที่น่าเป็นห่วงเลย และที่จังหวัดอุดรธานีก็ไม่มีสินค้าใดที่จะประสบปัญหาในการขายเช่นกัน

สำหรับชายฝั่งทะเลตะวันตก บ้านเดี่ยวราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปบริเวณชะอำน่าจะขายได้ยาก ทั้งนี้ยังมีเหลือขายอยู่ประมาณ 230 หน่วย เช่นเดี่ยวกับบ้านเดี่ยวช่วงหัวหิน-ปราณบุรี บ้านเดี่ยวราคา 20 ล้านบาทไปก็ขายได้ช้ามาก ทั้งนี้ยังเหลือขายอยู่เกือบ 100 หน่วย ส่วนสินค้าประเภทและระดับราคาอื่นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

และในภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองมีเพียงห้องชุดราคาเกิน 10 ล้านบาทที่แทบจะขายไม่ได้ แต่ก็มีเพียง 10 หน่วยสุดท้าย ในเขตอำเภอกะทู้และอำเภอถลางไม่มีประเภทบ้านและระดับราคาใดที่น่าเป็นห่วง

สำหรับเขตภาคใต้ตอนกลาง โดยเฉพาะอำเภอเมืองสุราษฎร์สุรี ก็แทบไม่มีสินค้าใดน่าเป็นห่วง ยกเว้นบ้านเดี่ยวราคาประมาณ 15 ล้านบาทซึ่งเหลืออยู่เพียง 4 หน่วยเท่านั้น ส่วนบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาทก็อาจขายช้าบ้าง สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราชก็มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ราคา 2-3 ล้านบาทซึ่งแทบจะขายไม่ได้คงเป็นเพราะราคาแพงเกินไปสำหรับพื้นที่จึงยังเหลืออยู่เกือบ 450 หน่วย

สำหรับอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาที่อยู่อาศัยที่อาจมีปัญหาในการขายได้แก่บ้านเดี่ยวราคาประมาณ 10-15 ล้านบาทก็มีอุปทานอยู่เพียง 25 หน่วย สำหรับอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าเป็นห่วงได้แก่ทาวน์เฮ้าส์ราคา 5-8 ล้านบาทที่ขายได้ช้ามากและยังเหลืออยู่ประมาณ 80 หน่วย นอกนั้นล้วนแต่ขายดีโดยเฉพาะห้องชุดพักอาศัย ดังนั้นจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงสรุปได้ว่าสินค้าที่อาจมีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ที่มีราคาค่อนข้างใหญ่ หรือที่อยู่อาศัยราคาถูกที่ตั้งอยู่ในทำเลไม่ดี ห้องชุดแทบไม่มีปัญหาในการขายแต่อย่างใด

"เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาอุปทานล้นเกินซึ่งอาจเป็นผลส่วนหนึ่งจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รัฐบาลควรดำเนินการเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์เป็น 10-20% ของมูลค่าตลาด และควรให้มีการคุ้มครองเงินดาวน์ของผู้ซื้อบ้านเป็นภาคบังคับ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงของตลาดที่อยู่อาศัยในระยะยาว"นายโสภณ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ